วิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม , พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ,พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 สามารถค้นหาคำพิพากษาฎีกาภายใน 1o ปี หลังสุดได้แล้วครับ จะเร่งเพิ่มวิชาต่อไปให้เสร็จตามมาเรื่อยๆครับ

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา
www.lawbooks-by-mrt.blogspot.com

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทบรรณาธิการ ภาค2 สมัยที่65 เล่ม7

                   คำถาม  จำเลยฎีกา ต้องมาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาแล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกา  จะถือว่าเป็นการแก้ไขคำให้การ เป็นการยื่นคำร้องขอถอนฎีกา หรือขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกา หรือไม่
                   คำตอบ   มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                   คำพิพากษาฎีกาที่  9481/2553  จำเลยฎีกาว่า มิได้กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ประการหนึ่ง ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกอีกประการหนึ่ง การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกา  แม้จะถือว่าเป็นการขอแก้ไขคำให้การจากที่ให้การปฏิเสธ เป็นให้การรับสารภาพ ซึ่งจำเลยไม่อาจกระทำได้ เพราะการแก้ไขคำให้การจะต้องกระทำก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 163 วรรคสอง และไม่อาจถือว่าการที่จำเลยยื่นคำร้องนี้เป็นการยื่นคำร้องขอถอนฎีกาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 202 ประกอบมาตรา 225 เพราะจำเลยยังติดใจฎีกาในประเด็นการลดโทษและรอการลงโทษจำคุก ทั้งไม่อาจถือว่าเป็นการยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาด้วยการสละประเด็นบางข้อเพราะพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 แล้ว แต่การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกาเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริง โดยไม่ได้โต้แย้งข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
                    
                   คำถาม  ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง ขณะที่คดีก่อนอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นฟ้องเรื่องเดียวอีก ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีก่อนอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ ดังนี้ คำฟ้องคดีหลังเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่
                    คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                    คำพิพากษาฎีกาที่  7188/2553  ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดในมูลละเมิดและประกันภัยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2026/2548 ของศาลจังหวัดนครปฐม แต่โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีก่อนเสียเพื่อไปฟ้องเป็นคดีใหม่ต่อศาลที่อยู่ในเขตอำนาจ  ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง ขณะที่คดีก่อนอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ในมูลหนี้เดิมและรายเดียวกันเป็นคดีนี้ ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีก่อนอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้  ดังนั้น เมื่อคดีที่โจทก์ขอถอนฟ้องในคดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ต้องถือว่าคดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด การที่โจทก์นำมูลหนี้รายเดียวกันมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอีก จึงเป็นการฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 173 วรรคสอง (1) แม้ต่อมาศาลฎีกาจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง คดีก่อนถึงที่สุดก็ตาม ก็หาทำให้ฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ต้นกลายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่
                     
                     คำถาม   โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมแต่ประการเดียว แต่คำฟ้องได้บรรยายว่าที่ดินของโจทก์มีที่ดินของบุคคลอื่นล้อมรอบไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ ดังนี้ ศาลจะวินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นได้หรือไม่
                     คำตอบ   มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                     คำพิพากษาฎีกาที่ 12102/2553  คำฟ้องโจทก์ทั้งสามขอให้เปิดทางพิพาทเป็นภาระจำยอมแต่ประการเดียว  แม้คำฟ้องได้บรรยายว่าที่ดินของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีที่ดินขอบุคคลอื่นล้อมรอบไม่มีทางออกสู่ทางสาธรณประโยชน์ก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสามมิได้ขอให้เปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นด้วย  ทั้งในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทแต่เพียงว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่และจำเลยทั้งสองต้องรื้อถอนประตูเหล็กและรั้วออกไปหรือไม่  การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นมิชอบด้วยกฎหมาย และปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
                   และคำพิพากษาฎีกาที่  2206/2540  วินิจฉัยเช่นกัน
                   แต่หากฟ้องว่า  ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็นด้วย  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                   คำพิพากษาฎีกาที่  3560/2553  โจทก์ที่ 2 ฟ้องว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นทางจำเป็น แม้โจทก์ที่ 1 มิได้อุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าทางพิพาทไม่ใช่ทางจำเป็นเพราะที่ดินและบ้านของโจทก์ที่ 1 อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นทางสาธารณะอยู่แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าเป็นทางภาระจำยอมได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น (คำพิพากษาฎีกาที่ 4510/2541, 6372/2550 วินิจฉัยเช่นกัน)
                   
                   คำถาม  โจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน เรื่องอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้นและค่าขึ้นศาล หลังจากศาลพิพากษาคดีแล้ว โจทก์จะมายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนการพิจารณาดังกล่าวว่าเป็นการผิดระเบียบได้หรือไม่
                   คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                   คำพิพากษาฎีกาที่  8497/2553  ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 กำหนดให้ผู้ที่จะร้องขอให้เพิกถอนกระบวนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น จะต้องเป็นคู่ความฝ่ายที่เสียหายจากการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและต้องคัดค้านไม่ช้ากว่า 8 วันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น การที่โจทก์ทั้งแปดเป็นผู้ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น ทั้งก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษา โจทก์ทั้งแปดก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านเรื่องอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้นและค่าขึ้นศาล เพิ่งมาขอให้โอนคดีและขอค่าขึ้นศาลบางส่วนคืนภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งแปดเป็นคู่ความฝ่ายที่ผู้เสียหายที่ได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดโจทก์ทั้งแปดจึงไม่อาจยื่นคำร้องขอให้โอนคดีไปยังศาลแขวงสุราษฎร์ธานีและขอค่าขึ้นศาลบางส่วนคืน  ซึ่งเป็นการขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบอยู่ในตัวได้
                       
                     คำถาม   ศาลพิพากษายกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้อง ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง หรือโจทก์ไม่มีพยานสืบ พิพากษายกฟ้อง โจทก์จะนำคดีมาฟ้องใหม่ได้หรือไม่
                     คำตอบ   มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                     ขั้นตรวจคำฟ้อง
                     คำพิพากษาฎีกาที่  2727/2544  คดีอาญาเรื่องก่อน โจทก์และจำเลยทั้งแปดเป็นคู่ความรายเดียวกับคดีนี้โดยโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งแปดร่วมกระทำความผิดในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เช่นเดียวกับคดีนี้ ซึ่งคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งในชั้นตรวจคำฟ้องว่า การกระทำของจำเลยทั้งแปดตามคำฟ้องของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าเป็นการไม่ชอบด้วยหน้าที่โดยทุจริต หรือเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือผู้อื่น ที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อย่างไร พิพากษายกฟ้อง   เท่ากับศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วว่าการกระทำของจำเลยทั้งแปดตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิด ซึ่งเป็นการยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 ถือว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาการกระทำและมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว โจทก์ฟ้องคดีนี้อีกจึงเป็นการฟ้องช้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4)
                      มีคำพิพากษาฎีกาที่ 6770/2546 วินิจฉัยเช่นกัน
                      ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
                      คำพิพากษาฎีกาที่ 1046-1047/2526  คดีทั้งสองสำนวนโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ เป็นคดีซึ่งเกิดขึ้นในคราวเดียวกัน เมื่อคดีของโจทก์ที่ 3 ตามคดีสำนวนหลัง ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้องข้อหาอื่น ส่วนข้อหาฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 สั่งว่าคดีไม่มีมูลให้ยกฟ้อง โจทก์ที่ 3 มิได้อุทธรณ์ กรณีเช่นนี้ถือได้ว่า ความผิดฐานแจ้งความเท็จสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในคดีสำนวนแรกนั้น ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธิของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในอันที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ในความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 39 (4)
                      มีคำพิพากษาฎีกาที่ 8910/2549  วินิจฉัยเช่นกัน
                     คำพิพากษาฎีกาที่ 8910/2549  คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยว่า จำเลยนำหนังสือสัญญากู้เงินที่จำเลยกับ ส. ทำปลอมขึ้นทั้งฉบับมานำสืบและแสดงเป็นพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 268,180  ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว วินิจฉัยว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง จึงเท่ากับศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งความผิดแล้ว ถือได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งโจทก์ได้ฟ้องแล้ว คดีนี้โจทก์นำการกระทำของจำเลยในคดีอาญาเรื่องก่อนมาฟ้องจำเลยอีก แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยปลอมเอกสารสิทธิและมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 ซึ่งแตกต่างกัน แต่มูลคดีนี้ก็มาจากการกระทำอันเดียวกัน สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายอาญามาครา 39 (4)
                      ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ
                      คำพิพากษาฎีกาที่  1382/2492  ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลเลื่อนการไต่สวนมาครั้งหนึ่งแล้ว ในครั้งที่สองทนายโจทก์มาศาล  แถลงว่าตัวโจทก์มาศาล แต่ไปไหนเสียไม่ทราบ  ไม่มีพยานโจทก์มาศาลเลย แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร ศาลอาญาสั่งว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ศาลรออยู่จนถึงเวลา 10.45 น. ตัวโจทก์และพยานไม่มาศาลเป็นพยานนำ ทั้งมิได้ขอเลื่อนคดี  ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบพิพากษายกฟ้อง  คดีถึงที่สุดอัยการจะยื่นฟ้องจำเลยในกรณีเดี่ยวกันอีกไม่ได้  การที่ศาลถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบพิพากษายกฟ้อง มีมูลเช่นเดียวกับการพิพากษายกฟ้องโดยโจทก์พิสูจน์ความผิดของจำเลยไม่ได้นั่นเอง
                     คำพิพากษาฎีกาที่  682/2537  โจทก์ร่วมเคยยื่นฟ้องจำเลยในความผิดกรณีเดียวกันนี้ต่อศาลชั้นต้น ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง ทนายโจทก์คดีดังกล่าวแถลงต่อศาลว่าไม่มีพยานมาสืบศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันความผิดของจำเลย  คดีจึงไม่มีมูลและพิพากษายกฟ้อง ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับการพิพากษายกฟ้อง โดยศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคแรก จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว  สิทธินำคดีอาญานี้มาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ.มาตรา 39 (4) หาใช่เป็นคดีที่ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวพิพากษายกฟ้องโดยโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 166 วรรคแรกไม่


                                                                              นายประเสริฐ   เสียงสุทธิวงศ์
                                                                                             บรรณาธิการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น