วิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม , พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ,พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 สามารถค้นหาคำพิพากษาฎีกาภายใน 1o ปี หลังสุดได้แล้วครับ จะเร่งเพิ่มวิชาต่อไปให้เสร็จตามมาเรื่อยๆครับ

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา
www.lawbooks-by-mrt.blogspot.com

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทบรรณาธิการ ภาค2 สมัย66 เล่ม10

                     คำถาม   การยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลอ้างว่า ผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลย ศาลจะต้องส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์คัดค้านก่อนหรือไม่ และผู้พิพากษาคนเดียวจะสั่งยกคำร้องได้หรือไม่
                       คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                       คำพิพากษาฎีกาที่  4419/2555 ในชั้นบังคับคดี เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลอ้างว่า ผู้ร้องมีสิทธิอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทเพราะไม่ใช่บริวารของจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นต้องรับคำร้องพร้อมส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ผู้ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดว่าโจทก์จะคัดค้านหรือไม่ หากคัดค้านก็ต้องทำการไต่สวนเพื่อเปิดโอกาสให้คู่กรณีนำพยานหลักฐานเข้าสืบสนับสนุนข้ออ้างและข้อคัดค้าน แล้วจึงวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นข้อพิพาท  การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องส่งสำเนาทะเบียนบ้านแล้วมีคำสั่งว่า  “ ตรวจคำร้องพร้อมสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ร้องแล้วเป็นบุตรจำเลยทั้งสองและสำเนาทะเบียนบ้านก็ระบุเป็นผู้อาศัย ถือว่าเป็นบริวารของจำเลยทั้งสอง จึงมีคำสั่งยกคำร้อง ” โดยไม่ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ทั้งที่ปรากฏว่าสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ร้องระบุบ้านอื่นมิใช่บ้านพิพาท ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่พอให้วินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยทั้งสอง แม้กรณีดังกล่าวถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู่ร้องแล้วก็ตาม
             การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องแสดงอำนาจพิเศษของผู้ร้องโดยผู้พิพากษาคนเดียวเป็นผู้ลงนามในคำสั่งนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 26 เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวมีลักษณะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวที่จะออกคำสั่งได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (1) อันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย
                   คำถาม  โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลต้องฟังจำเลยก่อนมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่
                    คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                     คำพิพากษาฎีกาที่  6412/2556 จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 กรณีไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคสอง ที่ศาลต้องฟังจำเลยที่ 1 ก่อนมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง ศาลชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้โดยไม่จำต้องฟังจำเลยที่ 1 ก่อน
                    แม้โจทก์อาจนำคดีมาฟ้องใหม่ได้ แต่ต้องฟ้องภายในกำหนดอายุความ จำเลยที่ 1 ซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การยังมีสิทธิยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ ไม่มีข้อที่ต้องเสียเปรียบ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องเสียหายหรือเสียเปรียบ กรณีไม่มีเหตุต้องเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 
            คำถาม   คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอฟังคดีอาญาดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่ 
                   คำตอบ   มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้                
                   คำพิพากษาฎีกาที่  3250/2556  บทบัญญัติเรื่องห้างมมิให้อุทธรณ์คำสั่งในระหว่างพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 (1) เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ปัญหานี้ไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
                      คดีนี้จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั้วคราวเนื่องจากคดีนี้เป็นเหตุการณ์และข้อเท็จจริงเดียวกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1083/2553 ของศาลชั้นต้น ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี โจทก์รับสำเนาแล้วคัดค้านและศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีส่วนแพ่ง การฟังข้อเท็จจริงจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา เมื่อคดีส่วนอาญายังพิจารณาไม่แล้วเสร็จคดีส่วนแพ่งจึงต้องรอฟังการพิจารณาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความชั่วคราว เมื่อคดีอาญาเสร็จสิ้นแล้วให้ยกคดีส่วนแพ่งขึ้นพิจารณาต่อไปนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 (1) แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ  
                       คำถาม   ถ้อยคำของจำเลยในบันทึกการจับกุมว่า จำเลยรู้จักและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ ส. จำเลยในคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งและจำเลยขับรถไปรับ ส. ในวันเกิดเหตุนั้น ศาลจะนำมารับฟังเป็นพยาน หลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้หรือไม่   
                       คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                      คำพิพากษาฎีกาที่  1152/2556  ถ้อยคำของจำเลยในบันทึกการขับกุมจำเลยที่ว่า จำเลยรู้จักและมีความสัมพันธ์ลึกซื้งกับ ส. จำเลยในคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งมาประมาณ 2 เดือน และจำเลยขับรถไปรับ ส. มิใช่เป็นคำรับสารภาพของผู้ถูกจับว่าต้นได้กระทำความผิด เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับได้แจ้งสิทธิให้แก่จำเลยทราบแล้วว่าจำเลยมีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ และถ้อยคำของจำเลยอาจใช้เป็นพยาน หลักฐานในการพิจารณาคดีได้ จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคท้าย
                      คำถาม   ผู้เสียหายเป็นบุคคลที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ จะร้องทุกข์หรือดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิด จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนหรือไม่
                      คำตอบ   มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                      คำพิพากษาฎีกาที่   6079/2555  ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ประกอบมาตรา 2 (7) กำหนดให้ผู้เสียหายเท่านั้นที่จะมีอำนาจร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดได้ คดีความผิดตามที่โจทก์ฟ้องเป็นความผิดอันยอมความได้หรือความผิดต่อส่วนตัว พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนก็ต่อเมื่อมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบตามมาตรา 121 วรรคสอง และโจทก์จะมีอำนาจฟ้องก็ต่อเมื่อมีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อนเช่นกันตามมาตรา 120
                      คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 9 มิถุนายน 2540 ถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547 เวลาใดไม่ปรากฏชัดต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสี่ร่วมกันครอบครองเงินที่ได้จากการขายที่ดินและขายสิทธิการเช่าที่ราชพัสดุของ ฮ. และเบียดบังยักยอกเอาเงินจำนวนดังกล่าวไป เมื่อ ฮ. ถึงแก่ความตายวันที่ 20 มีนาคม 2546 การกระทำที่โจทก์กล่าวหาในขณะที่ ฮ. ยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นการกระทำความผิดต่อ ฮ. ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ ฮ. จึงเป็นผู้เสียหายตามมาตรา 2 (4) และมีอำนาจร้องทุกข์ได้ตามมาตรา 3 (1) ประกอบมาตรา 2 (7) แม้ ฮ. จะพิการเดินไม่ได้เพราะเป็นอัมพาตและศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ แต่ ฮ. ก็ยังสามารถดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เหมือนเช่นบุคคลทั่วไปได้ โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้พิทักษ์ก่อนดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 แห่ง ป.พ.พ. ประกอบกับ ฮ. มิได้ถูกจำเลยทั้งสี่ทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้อันจะทำให้โจทก์ร่วมในฐานะผู้จัดการมรดกของ ฮ. มีอำนาจจัดการแทน ฮ. ได้ตามมาตรา 5 (2) เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งไม่ได้เป็นผู้เสียหายเป็นผู้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 แบะ 354 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้หรือความผิดต่อส่วนตัวตามมาตรา 356 จึงถือไม่ได้ว่าคดีนี้มีคำร้องทุกข์ตามระเบียนที่จะทำให้พนักงานสวนสวนมีอำนาจสอบสวนในความผิดต่อส่วนตัวได้ และถือเท่ากับว่ายังไม่ได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นมาก่อนย่อมส่งผลให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา 120
                       จำเลยที่ 2 นำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อสลากออมสินจำนวน 1,000,000 บาทเศษในนามของจำเลยที่ 2 คนเดียวโดยมีการเบิกเงินออกจากบัญชีเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2541 จำนวน 1,200,000 บาท ย่อมเป็นความผิดสำเร็จก่อน ฮ. ถึงแก่ความตายถึง 4 ปีเศษ การที่โจทก์ร่วมเป็นผู้จัดการมรดกของ ฮ. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2546 โจทก์ร่วมอ้างว่าเพิ่งทราบและมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2547 ก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำต่อเนื่องกันจนถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547 โจทก์ร่วมจึงไม่เป็นผู้เสียหาย ถือไม่ได้ว่าคดีนี้มีคำร้องทุกข์ตามระเบียบที่จะทำให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนในความผิดต่อส่วนตัวได้ ถือเท่ากับว่ายังไม่ได้มีการสอบสวน ย่อมส่งผลให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา 120 เช่นกัน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์ และศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมมาจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 198 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
                        
                            
                                                                                   นายประเสริฐ  เสียงสุทธิวงศ์

                                                                                              บรรณาธิการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น