วิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม , พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ,พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 สามารถค้นหาคำพิพากษาฎีกาภายใน 1o ปี หลังสุดได้แล้วครับ จะเร่งเพิ่มวิชาต่อไปให้เสร็จตามมาเรื่อยๆครับ

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา
www.lawbooks-by-mrt.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทบรรณาธิการ ภาค 2 สมัย 66 เล่ม 6

                     คำถาม   คดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง นั้น หากคู่ความในคดีฟ้องขับไล่คือคดีระหว่างโจทก์จำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง คดีเกี่ยวกับการบังคับบริวารของจำเลยผู้ถูกฟ้องขับไล่จะต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงด้วยหรือไม่
                      คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                      คำพิพากษาฎีกาที่  582/2551  คดีเดิมโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่ผู้เช่าและบริวารออกจากที่ดินพิพาทที่จำเลยเช่าจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาทกับให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างพร้อมค่าเสียหายนับถัดจากวันฟ้อง เป็นคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง คดีเกี่ยวกับการบังคับผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงด้วย  
                      คำพิพากษาฎีกาที่  5506/2555  คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ ตั้งอยู่ที่บ้านวังยาง ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี และให้จำเลยชำระค่าเสียหายปีละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 2 พฤศจิกายน 2537) จนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทแก่โจทก์ คดีถึงที่สุด โจทก์ขอหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารจำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาท ขอให้สั่งจับกุมและกักขังผู้ร้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้ร้องส่งศาลชั้นต้น ผู้ร้องแถลงว่าผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลย จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ราคา 120,000 บาท ได้ชำระราคาแก่โจทก์ก่อนโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว และจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 ผู้ร้องปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทมา 3 ปี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อมเพื่อสอบถาม
                     จำเลยและผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดี โดยอ้างเหตุทำนองเดียวกับที่ผู้ร้องแถลงต่อศาลดังกล่าว
                  ศาลชั้นต้นนัดพร้อม ผู้รับมอบอำนาจของนางโกสุม ผู้จัดการมรดกของโจทก์คนใหม่ที่ขอให้บังคับแทน แถลงว่าหากจำเลยและผู้ร้องมีหลักฐานการชำระค่าที่ดินแก่โจทก์ตามที่อ้างก็จะถอนการบังคับคดี จำเลยกับผู้ร้องแถลงว่าไม่มีหลักฐานแสดงการชำระเงินค่าที่ดินพิพาทแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งยกคำร้อง
                       จำเลยและผู้ร้องอุทธรณ์
                       ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
                       จำเลยและผู้ร้องฎีกา                   
                      ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ส่วนที่จำเลยและผู้ร้องฎีกาว่า การจ่ายเงินค่าที่ดินพิพาทไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง และจำเลยกับผู้ร้องมีพยานบุคคลจะนำสืบถึงการจ่ายเงินดังกล่าวนั้น เห็นว่า คดีนี้แม้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี แต่เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์อันอาจให้ผู้อื่นเช่าได้ในขณะที่ยื่นคำฟ้องเพียงปีละ 10,000 บาท หรือไม่เกินเดือนละ 4,000 บาทจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จึงไม่มีการต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ ฎีกาของจำเลยและผู้ร้องดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยและผู้ร้องอ้างเหตุนั้นมาตั้งแต่ในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นถึงพฤติการณ์แห่งคดีว่ามีเหตุให้งดการบังคับคดีไว้ได้หรือไม่เพียงใด อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยให้จึงไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำวินิจฉัยในคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยและผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิฎีกาด้วยเหตุผลดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยและผู้ร้องมานั้นย่อมเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
              คำถาม  คดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน หากโจทก์เรียกค่าเสียหายจนถึงวันฟ้องมาด้วย ทุนทรัพย์ที่ดินพิพาทจะต้องนำจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาบวกกับราคาที่ดินพิพาทด้วยหรือไม่
                       คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
            คำพิพากษาฎีกาที่  1184/2555 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำละเมิดโจทก์ด้วยการบุกรุกเข้าไปปักเสารั้วในที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์เข้าออกไม่ได้และมีคำขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนเสารั้วออกไปทั้งห้ามจำเลยรบกวนและให้ชดให้ค่าเสียหาย เมื่อจำเลยให้การว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลย โจทก์ไม่ได้ครอบครอง จำเลยมีสิทธิปักเสาทำรั้วในที่ดินของจำเลยได้ ไม่เป็นการละเมิดโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยต่างอ้างว่าตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท แม้จะมีคำขอบังคับจำเลยรื้อถอนเสารั้วออกไปและให้ชำระค่าเสียหาย 50,000 บาท และอีกเดือนละ 15,000 บาท  มาด้วย แต่การจะบังคับตามคำขอได้หรือไม่ต้องวินิจฉัยเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทก่อนอันเป็นประเด็นสำคัญในคดี จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลี้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาทและจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียก
                       เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท แต่ไม่เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้ โจทก์ไม่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและยกฟ้องโจทก์ การที่โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานจำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 200 ตารางวาและมีราคาประเมินตารางวาละ 700 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาจึงเท่ากับ 140,000 บาท เมื่อทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
              คำถาม   เจ้าของรวมคนหนึ่งในที่ดินถูกฟ้องแล้วแพ้คดี เจ้าของรวมอีกคนหนึ่งจะเป็นโจทก์ฟ้องคดีเกี่ยวกับที่ดินแปลงเดียวกันนี้อีกได้หรือไม่    
                       คำตอบ   มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                       คำพิพากษาฎีกาที่  7496/2555 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่คู่ความแถลงยอมรับกันต่อศาลว่า ที่ดินพิพาทในคดีนี้กับที่ดินพิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1677/2547 ของศาลชั้นต้น เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน โดยคดีดังกล่าวจำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่นางวันเพ็ญภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ กับบริวารให้ออกจากที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยว่า จำเลยในคดีนี้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทและพิพากษาให้ขับไล่นางวันเพ็ญและบริวารให้ออกไปจากที่ดิน คดีถึงที่สุดแล้วโดยคู่ความไม่อุทธรณ์ฎีกา ต่อมาโจทก์มายื่นฟ้องคดีนี้โดยตั้งรูปคดีเช่นเดียวกับที่จำเลยกับนางวันเพ็ญพิพาทในคดีก่อนว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากนางพรพรรณขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท
                      มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1677/2547 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำฟ้องและข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วถือได้ว่า โจทก์จำเลยในคดีก่อนกับในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน เนื่องจากโจทก์และนางวันเพ็ญเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายและได้ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส โจทก์และนางวันเพ็ญจึงเป็นเจ้าของร่วมกัน ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 ให้อำนาจเจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกและได้ความต่อไปว่านางวันเพ็ญได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่อ้างว่านางวันเพ็ญนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินพิพาทเพื่ออกโฉนดที่ดินแปลงที่โจทก์คดีนี้ซื้อมาจากผู้มีชื่อและได้ครอบครองทำประโยชน์มาเกินกว่า 10 ปี แล้ว การกระทำของนางวันเพ็ญจึงเป็นการกระทำแทนโจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทด้วย โจทก์ต้องผูกพันกับการกระทำของนางวันเพ็ญในคดีดังกล่าวในฐานเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท และต้องถือว่าโจทก์ในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับนางวันเพ็ญ จำเลยในคดีก่อนซึ่งมีโจทก์ในคดีก่อนเป็นจำเลยในคดีนี้เช่นกัน ทั้งคดีก่อนและคดีนี้ต่างก็มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเช่นเดียวกัน จึงถือได้ว่ามีประเด็นอย่างเดียวกัน และประเด็นในคดีก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้นการที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทอีก จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันโดยคู่ความเดียวกันในคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
               คำถาม  คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานรับของโจร โจทก์ไม่อุทธรณ์ หากจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จะมีอำนาจลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ได้หรือไม่
                      คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้                                              
                     คำพิพากษาฎีกาที่  280/2551 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แม้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานรับของโจรและยกฟ้องฐานลักทรัพย์ โจทก์ไม่อุทธรณ์ แต่จำเลยที่ 1 ได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาฐานความผิดฐานใดฐานหนึ่งระหว่างฐานรับของโจรกับฐานลักทรัพย์ไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม เพียงแต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่มีสิทธิที่จะลงโทษจำเลยที่ 1 เพิ่มเติมไปจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาเท่านั้น
                      คำพิพากษาฎีกาที่  862/2555  เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดร่วมกับพวกลักโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางคดีนี้ หาใช่เป็นเพียงการรับของโจรดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจร ยกฟ้องฐานลักทรัพย์และโจทก์ไม่มีฎีกาก็ตาม แต่เมื่อจำเลยฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยในฐานความผิดฐานใดฐานหนึ่งระหว่างรับของโจรกับฐานลักทรัพย์ได้ตามป.วิ.อ.มาตรา192 วรรคสาม เพียงแต่ศาลฎีกาจะลงโทษจำเลยเพิ่มเติมไปจากที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาไม่ได้เท่านั้น
                      คำถาม   ในคดีอาญา จำเลยจะขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธและให้การใหม่เป็นรับสารภาพได้หรือไม่
                     คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้
                     คำพิพากษาฎีกาที่  58/2555  จำเลยยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธและให้การใหม่เป็นรับสารภาพเป็นการขอแก้ไขคำให้การซึ่งสามารถยื่นได้ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาเท่านั้น การที่จำเลยยื่นคำร้องในระหว่างที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 163 วรรคสอง ส่วนแถลงการณ์จำเลยที่อ้างว่า จำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดและปัจจุบันจำเลยกับผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอนุญาตจากศาลให้สมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 และมิใช่ข้อที่จำเลยยกขึ้นฎีกา กับความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อได้ความตามคำแถลงของผู้เสียหายที่ 2 ที่ยื่นต่อศาลฎีกาขอให้ปรานีจำเลย ประกอบกับโทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3กำหนดนั้นสูงเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคสอง
                       

                                                                                                                นายประเสริฐ  เสียงสุทธิวงศ์

                                                                                                                               บรรณาธิการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น