วิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม , พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ,พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 สามารถค้นหาคำพิพากษาฎีกาภายใน 1o ปี หลังสุดได้แล้วครับ จะเร่งเพิ่มวิชาต่อไปให้เสร็จตามมาเรื่อยๆครับ

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา
www.lawbooks-by-mrt.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทบรรณาธิการ ภาค 2 สมัย 66 เล่ม 4

                 คำถาม  คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า ท. มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอำนาจสอบสวน การสอบสวนจึงเป็นไปโดยมิชอบ พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จะถือว่าคดีก่อนศาลได้วินิจฉัยในความผิดซึ่งได้ฟ้องอันจะเป็นเหตุให้สิทธิของ ท. ที่จะนำคดีมาฟ้องระงับสิ้นไปหรือไม่     
                   คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                  คำพิพากษาฎีกาที่ 13838/2555  คดีก่อนพนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามทำให้เสียทรัพย์บ้านพิพาทในคดีนี้ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 เวลาประมาณ 13 นาฬิกา จำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ซึ่งบ้านพิพาทหลังเดียวกันและการบุกรุกก็เป็นการบุกรุกเข้าไปเพื่อรื้อถอนบ้านพิพาทในวันเดียวกัน ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามในความผิดทั้งสองคดีจึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องไม่ขาดตอน อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท การกระทำของจำเลยทั้งสามที่โจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้และคดีก่อนเป็นการกรทำอันเดียวกัน แต่เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยวินิจฉัยเพียงว่า ท. โจทก์มิใช่เป็นผู้ได้รับความเสียหายจึงมิใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอำนาจสอบสวน การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 วรรคสอง ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 120 โดยยังมิได้วินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยทั้งสามตามข้อกล่าวหาของโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคำพิพากษาที่ได้วินิจฉัยในความผิดซึ่งได้ฟ้องอันจะเป็นเหตุให้สิทธิของโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39 (4) ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงเรียบร้อย แม้โจทก์มิได้ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 
                  คำพิพากษาฎีกาที่  1012/2527 โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้วครั้งหนึ่ง ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดถึงอำนาจฟ้องของโจทก์ โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ด้วยข้อหาเดียวกันนั้นต่อศาลชั้นต้นเดียวกัน โดยบรรยายอำนาจฟ้องของโจทก์ให้ชัดเจนขึ้น ดังนี้สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ยังหาได้ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) ไม่ เพราะศาลยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดการกระทำความผิดของจำเลย แต่การที่โจทก์ฟ้องคดีใหม่ในระหว่างที่คดีเดิมอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกานั้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15
                คำถาม   พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยข้อหาปล้นทรัพย์รถยนต์ราคา 840,000 บาท ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้เสียหายซื้อรถยนต์มาด้วยเงินดาวน์ 160,000 บาท และผ่อนชำระบริษัทไฟแนนซ์เดือนละ 12,000 บาท ได้เพียง 3 เดือน ดังนี้ ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องราคารถยนต์ที่สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิดจำนวนเท่าใด
                     คำตอบ   มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
         คำพิพากษาฎีกาที่  15831/2555 โจทก์ร่วมซื้อรถยนต์มาด้วยเงินดาวน์ประมาณ 160,000 บาท และผ่อนกับบริษัท ไฟแนนซ์เดือนละ 12,000 บาท ได้เพียง 3 เดือน เท่ากับโจทก์ร่วมชำระเงินค่ารถยนต์ไป 196,000 บาท โจทก์ร่วมมีสิทธิที่จะเรียกร้องราคารถยนต์ที่สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดคืนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 จำนวน 196,000 บาท ไม่ใช่ 840,000 บาท เพราะมิฉะนั้นโจทก์ร่วมย่อมได้กำไรเกินกว่าราคาที่สูญเสียไปซึ่งไม่ถูกต้อง และจำเลยทั้งสามอาจต้องชำระราคารถยนต์ซ้ำซ้อนในกรณีบริษัทประกันภัยใช้สิทธิไล่เบี้ยฟ้องคดีแพ่ง ซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 
              คำถาม   บันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวน หากศาลออกหมายจับ แต่ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความ ศาลจะรับฟังบันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนดังกล่าวได้หรือไม่
                       คำตอบ   มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                     คำพิพากษาฎีกาที่  9364/2555 ผู้เสียหายได้รับหมายเรียกให้มาเป็นพยานที่ศาลแต่ถึงวันนัดกลับไม่มาศาลและไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจับผู้เสียหายเพื่อเอาตัวมาเป็นพยาน แต่ก็ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาล ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นเนื่องจากไม่สามารถนำผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็นและได้ยินในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น ศาลสามารถนำพยานบอกเล่านี้ (คำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวน)ไปฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ ไม่ได้ต้องห้ามมิให้รับฟังเสียเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226/3 วรรคสอง (2)
                      คำถาม  ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นที่ประทับรับฟ้อง ให้คืนฟ้องโจทก์เพื่อให้นำไปดำเนินคดีในศาลที่มีอำนาจ จำเลยฎีกาได้หรือไม่  
                     คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
                     คำพิพากษาฎีกาที่   11985/2555  ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นพิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นที่ประทับรับฟ้อง ให้คืนฟ้องโจทก์เพื่อให้นำไปดำเนินคดีในศาลที่มีอำนาจ มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง จำเลยฎีกาไม่ได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4
                     คำถาม   ผู้เสียหายไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุและไม่เห็นเหตุการณ์ จะมีอำนาจที่จะจับกุมผู้กระทำความผิดหรือไม่
                     คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
                   คำพิพากษาฎีกาที่  4282/2555  ขณะเกิดเหตุที่จำเลยแทงผู้ตาย  ผู้เสียหายไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุและไม่เห็นเหตุการณ์ โดยผู้เสียหายยืนอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 50 เมตร มองไม่เห็นที่เกิดเหตุเพราะมีร้านค้าบังอยู่ ผู้เสียหายซึ่งเป็นราษฎรจึงไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะจับกุมจำเลยได้ เพราะมิใช่เป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้าตาม ป.วิ.อ.มาตรา 79 การที่ผู้เสียหายจะจับจำเลยและใช้ไม้กระบองฟาดไปที่หลังจำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตนเองได้ แต่การที่จำเลยจับไม้กระบองผู้เสียหายไว้แล้วใช้มีดแทงผู้เสียหายไปถึง 3 ครั้งที่ชายโครงซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ และอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ กาารกระทำขอองงจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ                 
                   คำถาม  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกันสามสำนวน หากผู้เสียหายทั้งสามสำนวนยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการเพียงบางสำนวน ผู้เสียหายจะมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ในสำนวนที่ตนไม่ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือไม่ 
                     คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
                   คำพิพากษาฎีกาที่  4562/2555  การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกันกับอีก 2 คดี โดยโจทก์ร่วมที่ 3 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4249/2546 ของศาลชั้นต้น ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 แต่โจทก์ร่วมที่ 1 ไม่ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ในสำนวนคดีนี้ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 7 ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกันสามสำนวน และโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายทั้งสามสำนวนก็ตาม เมื่อโจทก์ร่วมที่ 3 ไม่ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาสำนวนนี้ซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องจำเลยที่ 7 ต่อศาลตาม ป.วิ.อ.มาตรา 30 โจทก์ร่วมที่ 3 จึงไม่ใช่โจทก์ร่วมในสำนวนคดีนี้ โจทก์ร่วมที่ 3 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 7 ไม่ได้ ส่วนการที่ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมการพิจารณาพิพากษาคดีนี้กับอีก 2 คดี เป็นอำนาจของศาลตาม ป.วิ.อ.มาตรา 25 ซึ่งเป็นคนละเรื่องแยกต่างหากจากกัน ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมที่ 3 ในสำนวนคดีนี้ซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 7 ชอบแล้ว
                     คำถาม  ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในฟ้องและคดีถึงที่สุด โจทก์จะนำคดีมาฟ้องใหม่ได้หรือไม่ 
                      คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
                     คำพิพากษาฎีกาที่  3510/2555  ความผิดตามฟ้องคดีนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลชั้นต้นมาแล้วและศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าวเพราะโจทก์มิได้ลงลายมือชื่อในฟ้องและคดีถึงที่สุด ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่า ความผิดตามฟ้องคดีนี้ ศาลในคดีก่อนได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้วตามความใน ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์คดีนี้ยังไม่ระงับไปตามบทบัญญัติดังกล่าว  
          คำถาม  สิทธิในการนำคดีมาฟ้องในคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับคดีก่อนระงับไปตาม ป.วิ.อ.มาตรา 39 เป็นเหตุในลักษณะคดีตามมาตรา 213 หรือไม่ 
                  คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
           คำพิพากษาฎีกาที่  5410/2555  จำเลยที่ 3 ร่วมกันรับรถจักรยานยนต์ของกลางคดีนี้และรถจักรยานยนต์ในคดีหมายเลขแดงที่ 1111/2548 ของศาลจังหวัดราชบุรี ไว้ในคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันรับของโจรเพียงกรรมเดียว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีดังกล่าวแล้ว สิทธิในการนำคดีมาฟ้องในคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวกันจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39 (4) และเป็นเหตุลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปจนถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
                    คำถาม  การพิพากษาคดีอาญา ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีอาญาอื่นหรือไม่
           หากไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยจะมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  แก่ตนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 ได้หรือไม่
                   คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
                 คำพิพากษาฎีกาที่   4928/2555  ในการพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาคดีอื่น เพราะคดีอาญาโจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงที่กล่าวหานั้นจึงจะฟังลงโทษจำเลยได้ ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจะมีผลผูกพันคดีอื่นได้ก็เฉพาะที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ.มาตรา 46 เท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลแขวงสงขลาไม่ผูกพันในคดีนี้ ศาลก็ย่อมวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีนี้ตามที่ปรากฏในสำนวน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาของศาลแขวงสงขลาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 สมัครใจทะเลาะวิวาทกัน โจทก์ร่วมทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายจึงเป็นการไม่ชอบ
                   เมื่อจำเลยที่ 1 กับโจทก์ร่วมมีสาเหตุกันมาก่อนแล้ว จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายลงมือชกต่อยโจทก์ร่วมโดยผ่านช่องกระจกรถก่อน โจทก์ร่วมย่อมต้องตอบโต้การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเชื่อว่าโจทก์ร่วมใช้ประตูรถกระแทกจำเลยที่ 1 และออกจากรถไปชกต่อยกับจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ของโจทก์ร่วมจึงฟังได้ว่าโจทก์ร่วมสมัครใจทะเลาะวิวาทกับจำเลยที่ 1 โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยและไม่มีสิทธิยื่นคำร้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1


                                                                                                      นายประเสริฐ  เสียงสุทธิวงศ์

                                                                                                                    บรรณาธิการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น