วิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม , พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ,พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 สามารถค้นหาคำพิพากษาฎีกาภายใน 1o ปี หลังสุดได้แล้วครับ จะเร่งเพิ่มวิชาต่อไปให้เสร็จตามมาเรื่อยๆครับ

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา
www.lawbooks-by-mrt.blogspot.com

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ธงคำตอบข้อสอบเนติบัณฑิต ภาค 1 สมัย 65 (อาญา)

ข้อ 1.      นายใสเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งหัวหน้าส่วนโยธาขององค์การบริหารส่วนตำบลดีงาม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ควบคุมงานกรรมการตรวจการจ้างทำถนนความยาว 1,350 เมตร  มีนายขาวซึ่งเป็นกำนันและเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งกรรมการบริหารส่วนตำบลดีงาม เป็นประธานกรรมการตรวจการจ้าง ซึ่งนายขาวนำห้างหุ้นส่วนจำกัดซื่อตรงของนายขาวเข้าทำสัญญาทำถนนกับองค์การบริหารส่วนตำบลดีงามและแอบนำรถยนต์ขององค์การบริหารส่วนตำบลดีงามที่นายขาวมีหน้าที่จัดการดูแลรักษามาใช้ขนอุปกรณ์ทำถนน ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดซื่อตรงขอส่งมอบงาน นายขาวและนายใสไม่ได้ออกไปตรวจรับ แต่ทำเอกสารตรวจรับงานว่า ตรวจรับแล้ว ผู้รับเหมาทำถนนแล้วเสร็จถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา ความจริงถนนที่ทำเสร็จมีความยาวเพียง 1,024 เมตร องค์การบริหารส่วนตำบลดีงามก็ได้จ่ายเงินค่าจ้างทั้งหมดให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดซื่อตรงไป
                  ให้วินิจฉัยว่า  นายใสและนายขาวมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง
                                            
                                                           ธงคำตอบ

              นายใสและนายขาวเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ตรวจผลการทำงานและตรวจรับงานทำถนน ไม่ออกไปตรวจรับการก่อสร้าง แต่กลับทำเอกสารว่าตรวจรับแล้ว ผู้รับเหมาทำถนนแล้วเสร็จถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา  ทั้้งที่ความจริงถนนที่ทำเสร็จมีความยาวเพียง 1,024 เมตร ไม่ใช่ 1,350 เมตร ตามสัญญา  การกระทำดังกล่าวเป็นการทำเอกสารเท็จ ทำให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลดีงามที่ต้องจ่ายเงินค่าจ้างเกินไปจากผลงาน และทำให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดซื่อตรงได้ประโยชน์เป็นเงินส่วนเกินอันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  นายใสและนายขาวจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ีทำเอกสารรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(4) และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามมาตรา 157

              นอกจากนี้ นายขาวซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ตรวจผลการทำงานและตรวจรับงานทำถนนให้องค์การบริหารส่วนตำบลดีงาม อันถือเป็นหน้าที่จัดการหรือดูแลการทำถนนนั้น  นำห้างหุ้นส่วนจำกัดซื่อตรงของนายขาวเข้าทำสัญญารับเหมาทำถนน ถือเป็นการเข้ามามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง เนื่องด้วยกิจการที่ตนเองมีหน้าที่จัดการหรือดูแล จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152  และการที่นายขาวแอบนำรถยนต์ขององค์การบริหารส่วนตำบลดีงามที่นายขาวมีหน้าที่จัดการดูแลรักษามาใช้ขนอุปกรณ์ทำถนนดังกล่าว จึงเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลดีงาม  นายขาวจึงมีความผิดตามมาตรา 151 ด้วย (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 9368/2552)


ข้อ 2.       นายแดงเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ระหว่างที่นายแดงและเพื่อน ๆ นักกีฬาว่ายน้ำด้วยกันเสร็จจากการฝึกซ้อมและเดินทางกลับบ้าน ได้เห็นชายคนหนึ่งตกน้ำใกล้จะตาย เพื่อน ๆ ของนายแดงทุกคนกำลังจะว่ายน้ำไปช่วย แต่นายแดงร้องตะโกนไม่ให้ไป โดยบอกว่าตนไปช่วยคนเดียวก็พอแล้ว คนอื่น ๆ ไม่ต้องช่วย เพื่อน ๆ ของนายแดงเห็นว่านายแดงซึ่งเป็นหัวหน้าทีมนักว่ายน้ำสามารถไปช่วยคนเดียวได้ จึงไม่ว่ายน้ำไปช่วยตามที่นายแดงร้องห้าม เมื่อนายแดงว่ายน้ำไปใกล้ถึงตัวคนตกน้ำ ซึ่งความจริงก็คือนายขาวบิดาของนายแดงเอง แต่เนื่องจากเป็นเวลาพลบค่ำ นายแดงจึงมองเห็นไม่ชัดและเข้าใจผิดว่าเป็นนายเหลืองศัตรูของนายแดง นายแดงเกิดความคิดขึ้นมาทันทีต้องการให้นายเหลืองจมน้ำตาย จึงไม่เข้าไปช่วยและว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งทันที ในระหว่างนั้นนายขาวก็จมน้ำถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า หากนายแดงว่ายน้ำพานายขาวไปที่ฝั่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ นายขาวก็จะไม่จมน้ำตาย
                    ให้วินิจฉัยว่า  นายแดงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง
                                                          
                                                        ธงคำตอบ

               นายแดงตะโกนห้ามมิให้นักว่ายน้ำคนอื่นๆว่ายน้ำไปช่วยคนตกน้ำ โดยบอกว่าตนจะไปช่วยเพียงคนเดียวก็พอแล้ว ทำให้คนอื่นๆเปลี่ยนใจไม่ว่ายน้ำไปช่วย  นายแดงจึงมีหน้าที่โดยเฉพาะที่จะต้องช่วย  การไม่ช่วยโดยปล่อยให้คนตกน้ำจมน้ำตาย ย่อมเป็นการกระทำโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคท้าย จึงเป็นการฆ่าผู้อื่น  เมื่อนายแดงต้องการให้คนตกน้ำนั้นถึงแก่ความตาย แสดงว่ามีเจตนาฆ่าผู้นั้น  นายแดงจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288
               
               นายแดงเข้าใจว่านายขาวคนที่ตกน้ำคือนายเหลืองศัตรูของตน นายแดงจะยกเอาความสำคัญผิดในตัวบุคคลเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนาไม่ได้ ทั้งนี้ ตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 61 บัญญัติไว้

               แม้นายขาวคนที่ตกน้ำตายจะเป็นบิดาของนายแดงก็ตาม นายแดงก็ไม่ต้องได้รับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(1) ฐานฆ่าบุพการี เพราะนายแดงไม่รู้ว่าคนที่ตกน้ำเป็นบิดาของตน ทั้งนี้ ตามที่มาตรา 62 วรรคท้าย บัญญัติไว้ว่า บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใด บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น


ข้อ 3.       นายจิตและนายเป็นศัตรูกัน ทั้งสองคนไปพบกันโดยบังเอิญในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้มาร่วมงานจำนวนมาก ขณะที่นายใจเผลอ นายจิตซึ่งนั่งร่วมโต๊ะอาหารเดียวกับนายใจเกิดความคิดขึ้นมาทันทีที่จะฆ่านายใจ จึงลอบเอายาพิษร้ายแรงจำนวนหนึ่งที่นำติดตัวมาเพื่อจะไปใช้ฆ่าสัตว์ ใส่ในจานอาหารของนายใจที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร แต่ก่อนที่นายใจจะกินอาหารในจานนั้น  นายใจได้ตักอาหารใส่ปากเด็กหญิงแจ๋วบุตรของตนก่อน สักครู่หนึ่งเด็กหญิงแจ๋วหมดสติมีน้ำลายฟูมปาก ขณะที่กำลังรอรถพยาบาลรับเด็กหญิงแจ๋ว นายจิตสำนึกผิดพาเด็กหญิงแจ๋วไปรักษาที่โรงพยาบาลเสียก่อนจนเด็กหญิงแจ๋วปลอดภัย
                    ให้วินิจฉัยว่า  นายจิตมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง
                                                          
                                                        ธงคำตอบ

               นายจิตเอายาพิษใส่ในจานอาหารของนายใจ เป็นการปลอมปนอาหารเพื่อบุคคลอื่นเสพ โดยการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพของนายใจ นายจิตมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 236

               เมื่อนายใจตักอาหารใส่ปากเด็กหญิงแจ๋ว นายจิตก็มีความผิดดังกล่่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 236 ต่อเด็กหญิงแจ๋วด้วย โดยเป็นการกระทำโดยพลาดตามมาตรา 60

               นายจิตเอายาพิษร้ายแรงใส่ในจานอาหารของนายใจแสดงว่ามีเจตนาฆ่านายใจ เมื่อเป็นการกระทำขั้นตอนสุดท้ายในการทำให้นายใจถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำที่ใกล้ชิดต่อผลคือความตายของนายใจ แต่เมื่อการกระทำไม่บรรลุผล นายจิตจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านายใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบ มาตรา 80

               นายจิตเจตนาฆ่านายใจ แต่ผลของการกระทำไปเกิดแก่เด็กหญิงแจ๋วโดยพลาด นายจิตจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเด็กหญิงแจ๋วโดยพลาดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,60 ประกอบมาตรา 80 ด้วย

               การที่นายจิตสำนึกผิดพาเด็กหญิงแจ๋วไปรักษาจนปลอดภัย ไม่ใช่การกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82 เพราะขณะนั้นกำลังรอรถพยาบาลจะมารับเด็กหญิงแจ๋วไปรักษาอยู่แล้ว นายจิตจึงไม่ได้รับยกเว้นโทษในความผิดฐานพยายามฆ่า (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3688/2541) 


ข้อ 4.      นายขาวทำเครื่องมือสำหรับทำเหรียญห้าบาทซึ่งรัฐบาลออกใช้ขึ้นมา 1 ชุด แล้วเก็บไว้ วันรุ่งขึ้นนายขาวใช้เครื่องมือดังกล่าวทำเหรียญห้าบาทขึ้นมาจำนวนหนึ่ง  ตั้งใจว่าจะใช้เหรียญห้าบาทนั้นไปซื้อสิ่งของ แต่ยังไม่ทันได้นำไปใช้ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายขาวได้เสียก่อน
                   ให้วินิจฉัยว่า  นายขาวมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง
                                                        
                                                       ธงคำตอบ

               นายขาวทำเครื่องมือสำหรับปลอมเงินตราคือเหรียญห้าบาท ซึ่งเป็นเหรียญกระษาปณ์ซึ่งรัฐบาลออกใช้ และมีเครื่องมือเช่นว่านั้นเพื่อใช้ในการปลอมเหรียญห้าบาท นายขาวจึงมีความผิดฐานทำและมีเครื่องมือทำปลอมเงินตรา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 246   เมื่อนายขาวใช้เครื่องมือดังกล่าวทำเหรียญห้าบาทขึ้นมา จึงเป็นการทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตราเหรียญห้าบาทอันเป็นเหรียญกระษาปณ์ซึ่งรัฐบาลออกใช้  นายขาวจึงมีความผิดฐานปลอมเงินตรา ตามมาตรา 240 อีกกระทงหนึ่ง   และการที่นายขาวตั้งใจว่าจะใช้เหรียญห้าบาทนั้นไปซื้อสิ่งของ แม้จะยังไม่ทันได้ใช้ก็เป็นการมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเหรียญห้าบาทปลอมที่นายขาวได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมอันเป็นความผิดสำเร็จแล้ว นายขาวจึงมีความผิดฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอม ตามมาตรา 244 อีกกระทงหนึ่ง  แต่นายขาวเป็นผู้กระทำความผิดฐานปลอมเงินตรา ได้กระทำความผิดฐานทำและมีเครื่องมือทำปลอมเงินตรา และฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอม  จึงเป็นกรณีที่นายขาวกระทำความผิดตามมาตราอื่นอันเกี่ยวกับสิ่งที่ตนปลอมนั้นด้วย  ต้องลงโทษนายขาวฐานปลอมเงินตรา  ตามมาตรา 240 ประกอบมาตรา 248 กระทงเดียว(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 92/2521 ,2846/2519)


ข้อ 5.       กลางดึกของวันหนึ่ง นายเก่งแอบปีนเข้าไปในบ้านของนายเข้มและนางเขียว เข้าไปหานางสาวสด อายุ 17 ปี บุตรสาวของบุคคลทั้งสอง โดยไม่ได้นัดหมายกับนางสาวสดมาก่อน เพื่อจะคุยเรื่องนางสาวสดตั้งครรภ์กับตนว่าควรจะดำเนินการอย่างไรก่อนที่ครรภ์ของนางสาวสดจะมองเห็นได้ชัดเจน หลังจากพบกันแล้ว นายเก่งชวนนางสาวสดออกมาจากบ้านและคุยกันจนถึงรุ่งเช้าแต่ตกลงกันไม่ได้ เพราะนางสาวสดไม่ยอมทำแท้งตามความประสงค์ของนายเก่ง นายเก่งจึงใช้กำลังชกต่อยไปที่หน้าท้องและร่ายกายของนางสาวสดอย่างแรงหลายที เป็นเหตุให้เด็กคลอดออกมาโดยไม่มีชีวิต และนางสาวสดถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
                     ให้วินิจฉัยว่า นายเก่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง
                                                      
                                                       ธงคำตอบ

                นายเก่งปีนเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางดึก โดยไม่มีผู้ใดนัดหมายหรืออนุญาตให้เข้าไป เป็นการเข้าไปโดยพลการ จึงเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร นายเก่งมีความผิดฐานบุกรุกเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364

                นายเก่งชวนนางสาวสดออกมาจากบ้าน แม้นางสาวสดจะยินยอมมาด้วย ก็ถือเป็นการพรากผู้เยาว์ไปจากการปกครองดูแลของนายเข้มและนางเขียวบิดามารดาแล้ว แต่ไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก เพราะนายเก่งมิได้พรากนางสาวสดไปเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร เพียงแต่ต้องการหารือเรื่องการตั้งครรภ์ของนางสาวสดเท่านั้น

                นายเก่งใช้กำลังทำร้ายนางสาวสด โดยเจตนาทำให้นางสาวสดแท้งลูก เมื่อเด็กคลอดออกมาโดยไม่มีชีวิตและเป็นเหตุให้นางสาวสดถึงแก่ความตาย นายเก่งมีความผิดฐานทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงไม่ยินยอม และเป็นเหตุให้หญิงนั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 303 วรรคสาม  เมื่อการทำแท้งเกิดจากการทำร้าย มิได้มีเจตนาฆ่า และเป็นเหตุให้นางสาวสดถึงแก่ความตาย นายเก่งจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 290 วรรคหนึ่ง อีกบทหนึ่งด้วย


ข้อ 6.            นายจุกทราบว่านางแต๋วภริยากำลังจะไปเล่นการพนัน จึงขอร้องไม่ให้ไปเล่นเพราะนางแต๋วเล่นการพนันเสียเป็นประจำ นางแต๋วนอกจากไม่เชื่อแล้วยังโต้เถียงไม่หยุดและยืนยันว่าจะไปเล่น นายจุกจึงชกปากนางแต๋วอย่างแรงโดยทราบว่านางแต๋วใส่ฟันปลอมไว้ เป็นเหตุให้ริมฝีปากแตกเป็นแผลและฟันปลอมหักแตกกระจายใช้เคี้ยวอาหารไม่ได้ จากนั้นนายจุกกระชากสร้อยคอทองคำของนางแต๋วมาเก็บไว้ เพื่อไม่ให้นางแต๋วนำไปเล่นการพนัน ต่อมาอีก 3 วัน นายจุกเปลี่ยนใจยกสร้อยคอดังกล่าวให้นางสาวสมรที่นายจุกหลงชอบมานานแล้ว
                     ให้วินิจฉัยว่า นายจุกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง
                                                       
                                                       ธงคำตอบ

                กรณีที่นายจุกใช้กำลังประทุษร้ายแย่งสร้อยคอทองคำมาจากนางแต๋ว ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคหนึ่ง เพราะไม่มีเจตนาเอาสร้อยคอเป็นของตน เพียงต้องการเก็บรักษาไว้ไม่ให้นางแต๋วนำไปเล่นการพนัน (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่2188/2545)

                การที่นายจุกชกปากนางแต๋วอย่างแรงจนริมฝีปากแตก ถือว่านางแต๋วได้รับอันตรายแก่กาย นายจุกมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295  ส่วนกรณีการชกทำให้ฟันปลอมของนางแต๋วหักแตกกระจายไม่อาจใช้เคี้ยวอาหารได้นั้น เมื่อฟันปลอมเป็นเพียงทรัพย์มิใช่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย นายจุกจึงไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 297  แต่นายจุกเล็งเห็นผลได้ว่าการชกนั้นจะถูกฟันปลอม นายจุกคงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามมาตรา 358

                ส่วนที่นายจุกเอาทรัพย์ของนางแต๋วที่อยู่ในความครอบครองของตนไปยกให้นางสาวสมร เป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต นายจุกจึงมีความผิดฐานยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก


ข้อ 7.           ในปี 2554  นายวีร์เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งได้รับเงินเดือน เดือนละ 50,000 บาท และได้รับเงินค่าเบี้ยเลี้ยเหมาจ่ายเป็นรายเดือนอีกเดือนละ 20,000 บาท  นอกจากนี้บริษัทยังจ่ายเงินค่าเช่าบ้านให้อีกเดือนละ 30,000 บาท และนายวีร์ได้เปิดร้านขายเปียโนมือสองโดยมิได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 นายวีร์นำเข้าเปียโนมือสองจากประเทศญี่ปุ่น 10 หลัง ราคารวม 1,000,000 บาท เสียภาษีมูลค่าเพิ่มขณะนำเข้าเป็นเงิน 70,000 บาท นายวีร์ต้องการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว จึงยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและได้รับใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2554
     ให้วินิจฉัยว่า  (ก)  นายวีร์ต้องนำเงินค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายและเงินค่าเช่าบ้าน มารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่
    (ข)  นายวีร์จะขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้ชำระขณะนำเข้าเปียโน จำนวน 70,000 บาท ได้หรือไม่
                                                     
                                                        ธงคำตอบ

                (ก) เงินค่าเบี้ยเลี้ยงที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(1) จะต้องเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งลูกจ้างได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตน และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น  แต่ค่าเบี้ยเลี้ยงที่บริษัทจ่ายให้นายวีร์นั้นเป็นการเหมาจ่ายรายเดือน จึงไม่เข้าลักษณะเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับยกเว้นเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา  ดังนั้น นายวีร์จึงต้องนำเงินค่าเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่5330/2537 ,4842/2540)
                ส่วนเงินค่าเช่าบ้านที่บริษัทนายจ้างจ่ายให้ ถือเป็นประโยชน์ที่นายวีร์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้รับ อันเป็นเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1)  ดังนั้น นายวีร์จึงต้องนำเงินค่าเช่้าบ้านมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย

                (ข) ภาษีซื้อ หมายถึงภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนถูกผู้ประกอบการจดทะเบียนอื่นเรียกเก็บ และหมายความรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้เสียเมื่อนำเข้าสินค้า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77/1(18)(ก) จะมีสิทธิได้รับคืนต่อเมื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน เมื่อนายวีร์ได้รับใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2554 ซึ่งมีผลทำให้นายวีร์เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนตามกฎหมายตั้งแต่วันที่ระบุไว้ในใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม  นายวีร์จึงไม่มีสิทธินำภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 70,000 บาท ที่ชำระไปในขณะนำเข้าเปียโนมือสอง ซึ่งเป็นภาษีซื้อที่เกิดก่อนที่นายวีร์จะเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มาขอคืนได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3492/2549,10316/2550)


ข้อ 8.                นายดำและนายแดงเป็นลูกจ้างของบริษัทเขียวเกษตร จำกัด ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2552 เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2554  ในระหว่างเวลาทำงาน นายดำออกไปทำธุระนอกที่ทำงานโดยมิได้ลากิจให้ถูกต้อง บริษัท เขียวเกษตร จำกัด มีหนังสือเตือนนายดำในการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าว หนังสือเตือนลงวันที่ 30 มกราคม 2554  ต่อมานายดำไม่ไปทำงานวันที่ 20 ละ 21 มกราคม 2554  โดยไม่ได้แจ้งให้หัวหน้างานทราบ แต่ในวันที่ 22 มกราคม 2554 นายดำมาทำงานตามปกติอ้างว่าที่ไม่มาทำงานเพราะปวดท้อง ขอลาป่วย แต่ไม่ยื่นหนังสือลาป่วยและไม่มีใบรับรองของแพทย์ ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัท ส่วนนายแดงไม่พอใจนายจันทร์ซึ่งเป็นหัวหน้างานที่นำเรื่องการกระทำผิดของนายดำไปฟ้องผู้จัดการบริษัทเขียวเกษตร จำกัด จึงไปต่อว่าและร้องตะโกนด่านายจันทร์ต่อหน้าลูกจ้างคนอื่น ๆ ผู้จัดการเรียกนายแดงมาพบ นายแดงได้ขอโทษเรื่องอารมณ์ร้อนและขอขมาโทษต่อนายจันทร์ และได้ทำหนังสือยอมรับผิดมีข้อความว่า นายแดงรับว่าได้ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัท จะปรับปรุงแก้ไขตนเองไม่กระทำความดังกล่าวอีก หนังสือยอมรับผิดของนายแดงลงวันที่ 30 มกราคม 2554 ผู้จัดการรับหนังสือยอมรับผิดของนายแดงไว้และมีคำสั่งย้ายนายแดงไปทำงานแผนกอื่นแทน หลังจากย้าย แผนกทำงานได้ 10 เดือน นายแดงก็เกิดเหตุโต้เถียงกับนายอังคารซึ่งเป็นหัวหน้างานคนใหม่และร้องตะโกนด่าทอนายอังคารต่อหน้าลูกจ้างคนอื่น ๆ อีก
                      ให้วินิจฉัยว่า บริษัทเขียวเกษตร จำกัด จะเลิกจ้างนายดำและนายแดงโดยไม่จ่ายค่าชดเชยได้หรือไม่

                                                      ธงคำตอบ

                 พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4)  นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีลูกจ้างฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด

                 กรณีของนายดำ การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานครั้งแรกเป็นเรื่องลากิจไม่ถูกต้อง ส่วนการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานครั้งหลังเป็นเรื่องลาป่วยไม่ถูกต้อง เป็นคนละเรื่องกัน การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายดำครั้งหลัง จึงมิใช่เป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน  นอกจากนี้หนังสือเตือนในการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานครั้งแรกของนายดำก็สิ้นผลบังคับไปแล้ว เพราะหนังสือเตือนมีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างกระทำผิด มิใช่นับแต่วันที่นายจ้างออกหนังสือเตือน บริษัทเขียวเกษตร จำกัด จะเลิกจ้างนายดำโดยไม่จ่ายค่าชดเชยไม่ได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 6910/2546) 

                 กรณีของนายแดง แม้การที่นายแดงร้องตะโกนด่านายจันทร์และนายอังคารจะเป็นการกระทำต่อหัวหน้างานคนละคนกัน แต่ก็เป็นการกระทำผิดในเหตุเดียวกัน การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายแดงครั้งหลังเป็นการกระทำผิดซ้ำกับการกระทำครั้งแรก แต่หนังสือยินยอมรับผิดของนายแดงที่รับว่า นายแดงได้กระทำผิดและจะปรับปรุงแก้ไขตนเอง จะไม่กระทำผิดอีกนั้น มิใช่หนังสือเตือนของนายจ้าง  ดังนั้น แม้นายแดงจะกระทำผิดครั้งหลังภายใน 1 ปี ก็ตาม ก็ไม่ถือว่านายแดงกระทำผิดซ้ำคำเตือน ฉะนั้น บริษัทเขียวเกษตร จำกัด จะเลิกจ้างนายแดงโดยไม่จ่ายค่าชดเชยไม่ได้เช่นเดียวกัน (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 7353/2544)


ข้อ 9.                นายบุญมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนที่ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุยุบสภา ต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไป นายบุญมาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งเดิมอีก ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปไม่นาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้วินิจฉัยว่า นายบุญมาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนเป็นเท็จ ให้นายบุญมาพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กับห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 263 และขอให้ลงโทษทางอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 นายบุญมาให้การต่อสู้คดีว่า ตนมิได้จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่มีอำนาจพิพากษาให้ตนพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน เพราะกรณีตามคำร้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อน และไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ในส่วนอาญาเพราะไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจ
                    หากข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนฟังได้ว่า นายบุญมาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ
ให้วินิจฉัยว่า  (ก)  ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาให้นายบุญมาพ้นจากตำแหน่งสมาชิกผู้แทนราษฎรที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันได้หรือไม่
                         (ข)  ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิพากษาลงโทษนายบุญมาในคดีส่วนอาญาหรือไม่
                                                        ธงคำตอบ

                  (ก) แม้กรณีตามคำร้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่นายบุญมาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อน แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายบุญมาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนเป็นเท็จ นายบุญมาย่อมต้องห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งเป็นเวลาห้าปี นับแต่วันที่ศาลวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263 วรรคสอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงมีคำพิพากษาให้นายบุญมาพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ อม.3/2555)

                  (ข) แม้ไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาพิพากษาคดีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จในส่วนที่เป็นความผิดทางอาญาโดยชัดแจ้งก้ตาม แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบเหมือนกันและบันทึกเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีหมายเหตุระบุว่า ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจวินิจฉัยคดีประเภทนี้แทนศาลรัฐธรรมนูญเพราะจะต้องพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำผิดทางอาญา (เทียบคำิพิพากษาฎีกาที่ อม.12/2551) นอกจากนี้เมื่อให้อำนาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติยื่นคำร้องว่า นายบุญมาจงใจยื่นบัญชีฯเป็นเท็จ อันเป็นคำขอหลักหรือคำขอประธานแล้ว ในส่วนความผิดอาญาซึ่งเป็นคำขอรองหรือคำขออุปกรณ์ก็สมควรจะได้วินิจฉัยโดยศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกรวดเร็วไม่ลักลั่น และไม่เกิดปัญหาคำวินิจฉัยขัดกัน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษนายบุญมาในคดีส่วนอาญาได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ อม.4/2555)


ข้อ 10.         เทศบาลแห่งหนึ่งได้ประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจเข้าประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล  เนื่องจากเทศบาลต้องการให้เอกชนเช่าทำธุรกิจโรงแรม  เมื่อกระบวนการประกวดราคาสิ้นสุดลงปรากฏว่าบริษัทเอ จำกัด ชนะการประกวดราคา เทศบาลจึงคัดเลือกให้บริษัทเอ จำกัด เข้าทำสัญญาแต่เนื่องจากปริมาณงานตามที่กำหนดไว้ในสัญญาที่จะลงนามกันนั้นไม่ตรงกับใบเสนอมราคา บริษัทเอ จำกัด จึงไม่ยอมเข้าทำสัญญาด้วย  เทศบาลจึงประกาศยกเลิกการประกวดราคา บริษัทเอ จำกัด เห็นว่าประกาศดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งแต่ไม่เป็นผล จึงนำคดีไปฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนประกาศยกเลิกการประกวดราคา เทศบาลโต้แย้งว่าสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาลดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่ง และฟ้องคดีเกี่ยวกับการยกเลิกการประกวดราคาอันเป็นขั้นตอนก่อนการทำสัญญาทางแพ่งกรณีนี้บริษัทเอ จำกัด ต้องไปฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรม
                         ให้วินิจฉัยว่า  ข้อโต้แย้งของเทศบาลทั้งสองประการฟังขึ้นหรือไม่
                                                       
                                                      ธงคำตอบ

                    สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมที่เทศบาลจะทำกับบริษัท เอ จำกัด แม้จะมีคู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่ง ซึ่งได้แก่เทศบาล เป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่โดยที่เทศบาลมิได้ประสงค์จะใช้อาคารโรงแรมเป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตน แต่เพื่อแสวงประโยชน์ในทางธุรกิจอันเป็นกิจกรรมทางพาณิชย์ สัญญาดังกล่าวจึงมิได้มีลักษณะเป็นสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครองตามนัยบทนิยาม "สัญญาทางปกครอง" ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แต่เป็นสัญญาทางแพ่ง ข้อโต้แย้งของเทศบาลประการแรกจึงฟังขึ้น(เทียบคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 1/2555)
    
                    แม้สัญญาที่หน่วยงานทางปกครองทำหรือจะทำกับบุคคลอื่นตามผลการประกวดราคาจะเป็นสัญญาทางแพ่งแต่ประกาศยกเลิกการประกวดราคาถือเป็นการสั่งยกเลิกกระบวนการพิจารณาคำเสนอ และเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามนัยบทนิยาม "คำสั่งทางปกครอง" ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 การที่บริษัทเอ จำกัด เห็นว่าประกาศยกเลิกการประกวดราคาของเทศบาลไม่ชอบด้วยกฎหมายและนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนประกาศดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมาตรา 9 วรรคหนึ่ง(1)แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 บัญญัติให้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ต้องฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ไม่ใช่ศาลยุติธรรม ข้อโต้แย้งของเทศบาลประการที่สองจึงฟังไม่ขึ้น













16 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ8 ตุลาคม 2555 เวลา 14:12

    ทำได้5ข้อหมดเวลาซะก่อน เสียได้มากเลยตอบได้ค่อนข้างตรงกับธงคำตอบ มีข้อ10 ที่ตีความมาตรา9ผิดไปหน่อยถูกแค่ส่วนแรก ไว้ปีหน้าไม่พลาดแน่ๆต้องเขียนให้กระชับจะได้ทันเวลา

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สู้ต่อไปนะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ

      ลบ
    2. สรุปว่าที่ทำได้5ข้อ ได้ 7คะแนน3ข้อ ได้6 คะแนน1ข้อ และปกครองได้4คะแนนเพราะตอบถูกแค่ประเด็นเดียว
      ยังเสียดายไม่หาย ถ้าบริหารเวลาดีกว่านี้ทำเพิ่มอีสัก3ข้อน่าจะผ่าน ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะสำหรับธงคำตอบ

      ลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ8 ตุลาคม 2555 เวลา 22:00

    จะมีธงคำตอบแพ่งมาลงด้วยมั้ยคะ

    บล็อกมีประโยชน์มากค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับความตั้งใจดี

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มีแน่นอนครับ แต่รออีกสักพักนะครับ ได้ธงมาเมื่อไรจะลงให้ทันทีเลยครับ

      ลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ11 ตุลาคม 2555 เวลา 02:12

    ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

    ตอบลบ
  4. มีเจ้าของเว็บไซต์บางท่านได้ก๊อปปี้บทความนี้ที่ผมอุตส่านั่งพิมพ์ไปทั้งดุ้นไปใช้เพื่อประโยชน์ของเว็บไซต์ตนเอง แต่ไม่เป็นไรครับ แบ่งๆกันครับ มีอะไรผมก็ขอแบ่งบ้างนะคร๊าบ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ26 ตุลาคม 2555 เวลา 14:29

    ขอธงแพ่งเนติ สมัย65 ด้วยครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ลงธงคำตอบเน วิชาแพ่ง สมัย65 ไว้ให้แล้วนะครับ

      ลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ8 ธันวาคม 2555 เวลา 01:57

    ปิดทองหลังพระ ก็ได้บุญเหมือนกันค่ะ
    เป็นกำลังใจให้ ^^

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ6 พฤษภาคม 2556 เวลา 02:44

    การปิดทองหลังองค์พระปฏิมานั้น เเม้คนอื่นจะมองไม่เห็นเเต่ตัวเราเองก็ภูมิใจที่สุดเเล้วครับ เป็นกำลังใจให้กับท่านเจ้าของบล็อค สู้ๆๆๆๆๆๆๆครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณมากครับ เป็นกำลังใจที่ดียิ่งครับ

      ลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ10 พฤษภาคม 2556 เวลา 17:27

    เราทำอะไรเรารู้แก่ใจ คุณทำดีแค่ไหน คุณรู้แก่ใจ

    และตอนนี้ดีใจด้วยครับ มีผมเพิ่มมาอีกคนที่รู้ว่าคุณทำดี

    ขอบคุณมากครับในความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่คุณมีให้

    ขอให้กรรมดีที่คุณได้ทำส่งผลให้คุณประสพความสุขความเจริญนะครับ

    (ขออภัย หากผมจริงจังมากไป แค่อยากให้รู้ว่า ผมขอบคุณจากใจจริงๆ)

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้จริงจังมากไปหรอกครับ ต้องขอบคุณจริงๆเลยครับที่คุณรู้สึกแบบนั้น เป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ดียิ่งสำหรับผมในการพัฒนาบล็อกให้ดียิ่งขึ้นต่อไปในอนาคตครับ

      ลบ