ข้อ 1. นายใสเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งหัวหน้าส่วนโยธาขององค์การบริหารส่วนตำบลดีงาม
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ควบคุมงานกรรมการตรวจการจ้างทำถนนความยาว 1,350 เมตร
มีนายขาวซึ่งเป็นกำนันและเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งกรรมการบริหารส่วนตำบลดีงาม
เป็นประธานกรรมการตรวจการจ้าง
ซึ่งนายขาวนำห้างหุ้นส่วนจำกัดซื่อตรงของนายขาวเข้าทำสัญญาทำถนนกับองค์การบริหารส่วนตำบลดีงามและแอบนำรถยนต์ขององค์การบริหารส่วนตำบลดีงามที่นายขาวมีหน้าที่จัดการดูแลรักษามาใช้ขนอุปกรณ์ทำถนน
ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดซื่อตรงขอส่งมอบงาน นายขาวและนายใสไม่ได้ออกไปตรวจรับ
แต่ทำเอกสารตรวจรับงานว่า ตรวจรับแล้ว ผู้รับเหมาทำถนนแล้วเสร็จถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา
ความจริงถนนที่ทำเสร็จมีความยาวเพียง 1,024 เมตร
องค์การบริหารส่วนตำบลดีงามก็ได้จ่ายเงินค่าจ้างทั้งหมดให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดซื่อตรงไป
ให้วินิจฉัยว่า
นายใสและนายขาวมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง
ธงคำตอบ
นายใสและนายขาวเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ตรวจผลการทำงานและตรวจรับงานทำถนน ไม่ออกไปตรวจรับการก่อสร้าง แต่กลับทำเอกสารว่าตรวจรับแล้ว ผู้รับเหมาทำถนนแล้วเสร็จถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา ทั้้งที่ความจริงถนนที่ทำเสร็จมีความยาวเพียง 1,024 เมตร ไม่ใช่ 1,350 เมตร ตามสัญญา การกระทำดังกล่าวเป็นการทำเอกสารเท็จ ทำให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลดีงามที่ต้องจ่ายเงินค่าจ้างเกินไปจากผลงาน และทำให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดซื่อตรงได้ประโยชน์เป็นเงินส่วนเกินอันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย นายใสและนายขาวจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ีทำเอกสารรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(4) และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามมาตรา 157
นอกจากนี้ นายขาวซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ตรวจผลการทำงานและตรวจรับงานทำถนนให้องค์การบริหารส่วนตำบลดีงาม อันถือเป็นหน้าที่จัดการหรือดูแลการทำถนนนั้น นำห้างหุ้นส่วนจำกัดซื่อตรงของนายขาวเข้าทำสัญญารับเหมาทำถนน ถือเป็นการเข้ามามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง เนื่องด้วยกิจการที่ตนเองมีหน้าที่จัดการหรือดูแล จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 และการที่นายขาวแอบนำรถยนต์ขององค์การบริหารส่วนตำบลดีงามที่นายขาวมีหน้าที่จัดการดูแลรักษามาใช้ขนอุปกรณ์ทำถนนดังกล่าว จึงเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลดีงาม นายขาวจึงมีความผิดตามมาตรา 151 ด้วย (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 9368/2552)
ธงคำตอบ
นายแดงตะโกนห้ามมิให้นักว่ายน้ำคนอื่นๆว่ายน้ำไปช่วยคนตกน้ำ โดยบอกว่าตนจะไปช่วยเพียงคนเดียวก็พอแล้ว ทำให้คนอื่นๆเปลี่ยนใจไม่ว่ายน้ำไปช่วย นายแดงจึงมีหน้าที่โดยเฉพาะที่จะต้องช่วย การไม่ช่วยโดยปล่อยให้คนตกน้ำจมน้ำตาย ย่อมเป็นการกระทำโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคท้าย จึงเป็นการฆ่าผู้อื่น เมื่อนายแดงต้องการให้คนตกน้ำนั้นถึงแก่ความตาย แสดงว่ามีเจตนาฆ่าผู้นั้น นายแดงจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288
นายแดงเข้าใจว่านายขาวคนที่ตกน้ำคือนายเหลืองศัตรูของตน นายแดงจะยกเอาความสำคัญผิดในตัวบุคคลเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนาไม่ได้ ทั้งนี้ ตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 61 บัญญัติไว้
แม้นายขาวคนที่ตกน้ำตายจะเป็นบิดาของนายแดงก็ตาม นายแดงก็ไม่ต้องได้รับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(1) ฐานฆ่าบุพการี เพราะนายแดงไม่รู้ว่าคนที่ตกน้ำเป็นบิดาของตน ทั้งนี้ ตามที่มาตรา 62 วรรคท้าย บัญญัติไว้ว่า บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใด บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น
ธงคำตอบ
นายจิตเอายาพิษใส่ในจานอาหารของนายใจ เป็นการปลอมปนอาหารเพื่อบุคคลอื่นเสพ โดยการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพของนายใจ นายจิตมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 236
เมื่อนายใจตักอาหารใส่ปากเด็กหญิงแจ๋ว นายจิตก็มีความผิดดังกล่่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 236 ต่อเด็กหญิงแจ๋วด้วย โดยเป็นการกระทำโดยพลาดตามมาตรา 60
นายจิตเอายาพิษร้ายแรงใส่ในจานอาหารของนายใจแสดงว่ามีเจตนาฆ่านายใจ เมื่อเป็นการกระทำขั้นตอนสุดท้ายในการทำให้นายใจถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำที่ใกล้ชิดต่อผลคือความตายของนายใจ แต่เมื่อการกระทำไม่บรรลุผล นายจิตจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านายใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบ มาตรา 80
นายจิตเจตนาฆ่านายใจ แต่ผลของการกระทำไปเกิดแก่เด็กหญิงแจ๋วโดยพลาด นายจิตจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเด็กหญิงแจ๋วโดยพลาดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,60 ประกอบมาตรา 80 ด้วย
การที่นายจิตสำนึกผิดพาเด็กหญิงแจ๋วไปรักษาจนปลอดภัย ไม่ใช่การกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82 เพราะขณะนั้นกำลังรอรถพยาบาลจะมารับเด็กหญิงแจ๋วไปรักษาอยู่แล้ว นายจิตจึงไม่ได้รับยกเว้นโทษในความผิดฐานพยายามฆ่า (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3688/2541)
ธงคำตอบ
นายขาวทำเครื่องมือสำหรับปลอมเงินตราคือเหรียญห้าบาท ซึ่งเป็นเหรียญกระษาปณ์ซึ่งรัฐบาลออกใช้ และมีเครื่องมือเช่นว่านั้นเพื่อใช้ในการปลอมเหรียญห้าบาท นายขาวจึงมีความผิดฐานทำและมีเครื่องมือทำปลอมเงินตรา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 246 เมื่อนายขาวใช้เครื่องมือดังกล่าวทำเหรียญห้าบาทขึ้นมา จึงเป็นการทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตราเหรียญห้าบาทอันเป็นเหรียญกระษาปณ์ซึ่งรัฐบาลออกใช้ นายขาวจึงมีความผิดฐานปลอมเงินตรา ตามมาตรา 240 อีกกระทงหนึ่ง และการที่นายขาวตั้งใจว่าจะใช้เหรียญห้าบาทนั้นไปซื้อสิ่งของ แม้จะยังไม่ทันได้ใช้ก็เป็นการมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเหรียญห้าบาทปลอมที่นายขาวได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมอันเป็นความผิดสำเร็จแล้ว นายขาวจึงมีความผิดฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอม ตามมาตรา 244 อีกกระทงหนึ่ง แต่นายขาวเป็นผู้กระทำความผิดฐานปลอมเงินตรา ได้กระทำความผิดฐานทำและมีเครื่องมือทำปลอมเงินตรา และฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอม จึงเป็นกรณีที่นายขาวกระทำความผิดตามมาตราอื่นอันเกี่ยวกับสิ่งที่ตนปลอมนั้นด้วย ต้องลงโทษนายขาวฐานปลอมเงินตรา ตามมาตรา 240 ประกอบมาตรา 248 กระทงเดียว(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 92/2521 ,2846/2519)
ธงคำตอบ
ธงคำตอบ
กรณีที่นายจุกใช้กำลังประทุษร้ายแย่งสร้อยคอทองคำมาจากนางแต๋ว ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคหนึ่ง เพราะไม่มีเจตนาเอาสร้อยคอเป็นของตน เพียงต้องการเก็บรักษาไว้ไม่ให้นางแต๋วนำไปเล่นการพนัน (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่2188/2545)
การที่นายจุกชกปากนางแต๋วอย่างแรงจนริมฝีปากแตก ถือว่านางแต๋วได้รับอันตรายแก่กาย นายจุกมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ส่วนกรณีการชกทำให้ฟันปลอมของนางแต๋วหักแตกกระจายไม่อาจใช้เคี้ยวอาหารได้นั้น เมื่อฟันปลอมเป็นเพียงทรัพย์มิใช่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย นายจุกจึงไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 297 แต่นายจุกเล็งเห็นผลได้ว่าการชกนั้นจะถูกฟันปลอม นายจุกคงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามมาตรา 358
ส่วนที่นายจุกเอาทรัพย์ของนางแต๋วที่อยู่ในความครอบครองของตนไปยกให้นางสาวสมร เป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต นายจุกจึงมีความผิดฐานยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก
ธงคำตอบ
(ก) เงินค่าเบี้ยเลี้ยงที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(1) จะต้องเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งลูกจ้างได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตน และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น แต่ค่าเบี้ยเลี้ยงที่บริษัทจ่ายให้นายวีร์นั้นเป็นการเหมาจ่ายรายเดือน จึงไม่เข้าลักษณะเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับยกเว้นเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนั้น นายวีร์จึงต้องนำเงินค่าเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่5330/2537 ,4842/2540)
ส่วนเงินค่าเช่าบ้านที่บริษัทนายจ้างจ่ายให้ ถือเป็นประโยชน์ที่นายวีร์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้รับ อันเป็นเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1) ดังนั้น นายวีร์จึงต้องนำเงินค่าเช่้าบ้านมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย
(ข) ภาษีซื้อ หมายถึงภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนถูกผู้ประกอบการจดทะเบียนอื่นเรียกเก็บ และหมายความรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้เสียเมื่อนำเข้าสินค้า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77/1(18)(ก) จะมีสิทธิได้รับคืนต่อเมื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน เมื่อนายวีร์ได้รับใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2554 ซึ่งมีผลทำให้นายวีร์เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนตามกฎหมายตั้งแต่วันที่ระบุไว้ในใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม นายวีร์จึงไม่มีสิทธินำภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 70,000 บาท ที่ชำระไปในขณะนำเข้าเปียโนมือสอง ซึ่งเป็นภาษีซื้อที่เกิดก่อนที่นายวีร์จะเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม มาขอคืนได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3492/2549,10316/2550)
ธงคำตอบ
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีลูกจ้างฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
กรณีของนายดำ การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานครั้งแรกเป็นเรื่องลากิจไม่ถูกต้อง ส่วนการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานครั้งหลังเป็นเรื่องลาป่วยไม่ถูกต้อง เป็นคนละเรื่องกัน การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายดำครั้งหลัง จึงมิใช่เป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน นอกจากนี้หนังสือเตือนในการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานครั้งแรกของนายดำก็สิ้นผลบังคับไปแล้ว เพราะหนังสือเตือนมีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างกระทำผิด มิใช่นับแต่วันที่นายจ้างออกหนังสือเตือน บริษัทเขียวเกษตร จำกัด จะเลิกจ้างนายดำโดยไม่จ่ายค่าชดเชยไม่ได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 6910/2546)
กรณีของนายแดง แม้การที่นายแดงร้องตะโกนด่านายจันทร์และนายอังคารจะเป็นการกระทำต่อหัวหน้างานคนละคนกัน แต่ก็เป็นการกระทำผิดในเหตุเดียวกัน การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายแดงครั้งหลังเป็นการกระทำผิดซ้ำกับการกระทำครั้งแรก แต่หนังสือยินยอมรับผิดของนายแดงที่รับว่า นายแดงได้กระทำผิดและจะปรับปรุงแก้ไขตนเอง จะไม่กระทำผิดอีกนั้น มิใช่หนังสือเตือนของนายจ้าง ดังนั้น แม้นายแดงจะกระทำผิดครั้งหลังภายใน 1 ปี ก็ตาม ก็ไม่ถือว่านายแดงกระทำผิดซ้ำคำเตือน ฉะนั้น บริษัทเขียวเกษตร จำกัด จะเลิกจ้างนายแดงโดยไม่จ่ายค่าชดเชยไม่ได้เช่นเดียวกัน (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 7353/2544)
(ก) แม้กรณีตามคำร้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่นายบุญมาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อน แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายบุญมาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนเป็นเท็จ นายบุญมาย่อมต้องห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งเป็นเวลาห้าปี นับแต่วันที่ศาลวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263 วรรคสอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงมีคำพิพากษาให้นายบุญมาพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ อม.3/2555)
(ข) แม้ไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาพิพากษาคดีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จในส่วนที่เป็นความผิดทางอาญาโดยชัดแจ้งก้ตาม แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบเหมือนกันและบันทึกเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีหมายเหตุระบุว่า ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจวินิจฉัยคดีประเภทนี้แทนศาลรัฐธรรมนูญเพราะจะต้องพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำผิดทางอาญา (เทียบคำิพิพากษาฎีกาที่ อม.12/2551) นอกจากนี้เมื่อให้อำนาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติยื่นคำร้องว่า นายบุญมาจงใจยื่นบัญชีฯเป็นเท็จ อันเป็นคำขอหลักหรือคำขอประธานแล้ว ในส่วนความผิดอาญาซึ่งเป็นคำขอรองหรือคำขออุปกรณ์ก็สมควรจะได้วินิจฉัยโดยศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกรวดเร็วไม่ลักลั่น และไม่เกิดปัญหาคำวินิจฉัยขัดกัน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษนายบุญมาในคดีส่วนอาญาได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ อม.4/2555)
ธงคำตอบ
สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมที่เทศบาลจะทำกับบริษัท เอ จำกัด แม้จะมีคู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่ง ซึ่งได้แก่เทศบาล เป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่โดยที่เทศบาลมิได้ประสงค์จะใช้อาคารโรงแรมเป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตน แต่เพื่อแสวงประโยชน์ในทางธุรกิจอันเป็นกิจกรรมทางพาณิชย์ สัญญาดังกล่าวจึงมิได้มีลักษณะเป็นสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครองตามนัยบทนิยาม "สัญญาทางปกครอง" ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แต่เป็นสัญญาทางแพ่ง ข้อโต้แย้งของเทศบาลประการแรกจึงฟังขึ้น(เทียบคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 1/2555)
แม้สัญญาที่หน่วยงานทางปกครองทำหรือจะทำกับบุคคลอื่นตามผลการประกวดราคาจะเป็นสัญญาทางแพ่งแต่ประกาศยกเลิกการประกวดราคาถือเป็นการสั่งยกเลิกกระบวนการพิจารณาคำเสนอ และเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามนัยบทนิยาม "คำสั่งทางปกครอง" ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 การที่บริษัทเอ จำกัด เห็นว่าประกาศยกเลิกการประกวดราคาของเทศบาลไม่ชอบด้วยกฎหมายและนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนประกาศดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมาตรา 9 วรรคหนึ่ง(1)แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 บัญญัติให้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ต้องฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ไม่ใช่ศาลยุติธรรม ข้อโต้แย้งของเทศบาลประการที่สองจึงฟังไม่ขึ้น
ข้อ 2. นายแดงเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ
ระหว่างที่นายแดงและเพื่อน ๆ
นักกีฬาว่ายน้ำด้วยกันเสร็จจากการฝึกซ้อมและเดินทางกลับบ้าน
ได้เห็นชายคนหนึ่งตกน้ำใกล้จะตาย เพื่อน ๆ ของนายแดงทุกคนกำลังจะว่ายน้ำไปช่วย
แต่นายแดงร้องตะโกนไม่ให้ไป โดยบอกว่าตนไปช่วยคนเดียวก็พอแล้ว คนอื่น ๆ
ไม่ต้องช่วย เพื่อน ๆ ของนายแดงเห็นว่านายแดงซึ่งเป็นหัวหน้าทีมนักว่ายน้ำสามารถไปช่วยคนเดียวได้
จึงไม่ว่ายน้ำไปช่วยตามที่นายแดงร้องห้าม เมื่อนายแดงว่ายน้ำไปใกล้ถึงตัวคนตกน้ำ
ซึ่งความจริงก็คือนายขาวบิดาของนายแดงเอง แต่เนื่องจากเป็นเวลาพลบค่ำ
นายแดงจึงมองเห็นไม่ชัดและเข้าใจผิดว่าเป็นนายเหลืองศัตรูของนายแดง
นายแดงเกิดความคิดขึ้นมาทันทีต้องการให้นายเหลืองจมน้ำตาย
จึงไม่เข้าไปช่วยและว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งทันที
ในระหว่างนั้นนายขาวก็จมน้ำถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า
หากนายแดงว่ายน้ำพานายขาวไปที่ฝั่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ นายขาวก็จะไม่จมน้ำตาย
ให้วินิจฉัยว่า นายแดงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง
ธงคำตอบ
นายแดงตะโกนห้ามมิให้นักว่ายน้ำคนอื่นๆว่ายน้ำไปช่วยคนตกน้ำ โดยบอกว่าตนจะไปช่วยเพียงคนเดียวก็พอแล้ว ทำให้คนอื่นๆเปลี่ยนใจไม่ว่ายน้ำไปช่วย นายแดงจึงมีหน้าที่โดยเฉพาะที่จะต้องช่วย การไม่ช่วยโดยปล่อยให้คนตกน้ำจมน้ำตาย ย่อมเป็นการกระทำโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคท้าย จึงเป็นการฆ่าผู้อื่น เมื่อนายแดงต้องการให้คนตกน้ำนั้นถึงแก่ความตาย แสดงว่ามีเจตนาฆ่าผู้นั้น นายแดงจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 288
นายแดงเข้าใจว่านายขาวคนที่ตกน้ำคือนายเหลืองศัตรูของตน นายแดงจะยกเอาความสำคัญผิดในตัวบุคคลเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนาไม่ได้ ทั้งนี้ ตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 61 บัญญัติไว้
แม้นายขาวคนที่ตกน้ำตายจะเป็นบิดาของนายแดงก็ตาม นายแดงก็ไม่ต้องได้รับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(1) ฐานฆ่าบุพการี เพราะนายแดงไม่รู้ว่าคนที่ตกน้ำเป็นบิดาของตน ทั้งนี้ ตามที่มาตรา 62 วรรคท้าย บัญญัติไว้ว่า บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใด บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น
ข้อ 3. นายจิตและนายเป็นศัตรูกัน
ทั้งสองคนไปพบกันโดยบังเอิญในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้มาร่วมงานจำนวนมาก
ขณะที่นายใจเผลอ
นายจิตซึ่งนั่งร่วมโต๊ะอาหารเดียวกับนายใจเกิดความคิดขึ้นมาทันทีที่จะฆ่านายใจ
จึงลอบเอายาพิษร้ายแรงจำนวนหนึ่งที่นำติดตัวมาเพื่อจะไปใช้ฆ่าสัตว์
ใส่ในจานอาหารของนายใจที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร
แต่ก่อนที่นายใจจะกินอาหารในจานนั้น
นายใจได้ตักอาหารใส่ปากเด็กหญิงแจ๋วบุตรของตนก่อน
สักครู่หนึ่งเด็กหญิงแจ๋วหมดสติมีน้ำลายฟูมปาก ขณะที่กำลังรอรถพยาบาลรับเด็กหญิงแจ๋ว
นายจิตสำนึกผิดพาเด็กหญิงแจ๋วไปรักษาที่โรงพยาบาลเสียก่อนจนเด็กหญิงแจ๋วปลอดภัย
ให้วินิจฉัยว่า นายจิตมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง
ธงคำตอบ
นายจิตเอายาพิษใส่ในจานอาหารของนายใจ เป็นการปลอมปนอาหารเพื่อบุคคลอื่นเสพ โดยการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพของนายใจ นายจิตมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 236
เมื่อนายใจตักอาหารใส่ปากเด็กหญิงแจ๋ว นายจิตก็มีความผิดดังกล่่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 236 ต่อเด็กหญิงแจ๋วด้วย โดยเป็นการกระทำโดยพลาดตามมาตรา 60
นายจิตเอายาพิษร้ายแรงใส่ในจานอาหารของนายใจแสดงว่ามีเจตนาฆ่านายใจ เมื่อเป็นการกระทำขั้นตอนสุดท้ายในการทำให้นายใจถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำที่ใกล้ชิดต่อผลคือความตายของนายใจ แต่เมื่อการกระทำไม่บรรลุผล นายจิตจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านายใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบ มาตรา 80
นายจิตเจตนาฆ่านายใจ แต่ผลของการกระทำไปเกิดแก่เด็กหญิงแจ๋วโดยพลาด นายจิตจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเด็กหญิงแจ๋วโดยพลาดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,60 ประกอบมาตรา 80 ด้วย
การที่นายจิตสำนึกผิดพาเด็กหญิงแจ๋วไปรักษาจนปลอดภัย ไม่ใช่การกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82 เพราะขณะนั้นกำลังรอรถพยาบาลจะมารับเด็กหญิงแจ๋วไปรักษาอยู่แล้ว นายจิตจึงไม่ได้รับยกเว้นโทษในความผิดฐานพยายามฆ่า (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3688/2541)
ข้อ 4. นายขาวทำเครื่องมือสำหรับทำเหรียญห้าบาทซึ่งรัฐบาลออกใช้ขึ้นมา
1 ชุด แล้วเก็บไว้ วันรุ่งขึ้นนายขาวใช้เครื่องมือดังกล่าวทำเหรียญห้าบาทขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ตั้งใจว่าจะใช้เหรียญห้าบาทนั้นไปซื้อสิ่งของ
แต่ยังไม่ทันได้นำไปใช้ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายขาวได้เสียก่อน
ให้วินิจฉัยว่า นายขาวมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง
ธงคำตอบ
นายขาวทำเครื่องมือสำหรับปลอมเงินตราคือเหรียญห้าบาท ซึ่งเป็นเหรียญกระษาปณ์ซึ่งรัฐบาลออกใช้ และมีเครื่องมือเช่นว่านั้นเพื่อใช้ในการปลอมเหรียญห้าบาท นายขาวจึงมีความผิดฐานทำและมีเครื่องมือทำปลอมเงินตรา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 246 เมื่อนายขาวใช้เครื่องมือดังกล่าวทำเหรียญห้าบาทขึ้นมา จึงเป็นการทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตราเหรียญห้าบาทอันเป็นเหรียญกระษาปณ์ซึ่งรัฐบาลออกใช้ นายขาวจึงมีความผิดฐานปลอมเงินตรา ตามมาตรา 240 อีกกระทงหนึ่ง และการที่นายขาวตั้งใจว่าจะใช้เหรียญห้าบาทนั้นไปซื้อสิ่งของ แม้จะยังไม่ทันได้ใช้ก็เป็นการมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเหรียญห้าบาทปลอมที่นายขาวได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมอันเป็นความผิดสำเร็จแล้ว นายขาวจึงมีความผิดฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอม ตามมาตรา 244 อีกกระทงหนึ่ง แต่นายขาวเป็นผู้กระทำความผิดฐานปลอมเงินตรา ได้กระทำความผิดฐานทำและมีเครื่องมือทำปลอมเงินตรา และฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอม จึงเป็นกรณีที่นายขาวกระทำความผิดตามมาตราอื่นอันเกี่ยวกับสิ่งที่ตนปลอมนั้นด้วย ต้องลงโทษนายขาวฐานปลอมเงินตรา ตามมาตรา 240 ประกอบมาตรา 248 กระทงเดียว(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 92/2521 ,2846/2519)
ข้อ 5. กลางดึกของวันหนึ่ง
นายเก่งแอบปีนเข้าไปในบ้านของนายเข้มและนางเขียว เข้าไปหานางสาวสด อายุ 17 ปี
บุตรสาวของบุคคลทั้งสอง โดยไม่ได้นัดหมายกับนางสาวสดมาก่อน
เพื่อจะคุยเรื่องนางสาวสดตั้งครรภ์กับตนว่าควรจะดำเนินการอย่างไรก่อนที่ครรภ์ของนางสาวสดจะมองเห็นได้ชัดเจน
หลังจากพบกันแล้ว นายเก่งชวนนางสาวสดออกมาจากบ้านและคุยกันจนถึงรุ่งเช้าแต่ตกลงกันไม่ได้
เพราะนางสาวสดไม่ยอมทำแท้งตามความประสงค์ของนายเก่ง
นายเก่งจึงใช้กำลังชกต่อยไปที่หน้าท้องและร่ายกายของนางสาวสดอย่างแรงหลายที
เป็นเหตุให้เด็กคลอดออกมาโดยไม่มีชีวิต และนางสาวสดถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
ให้วินิจฉัยว่า นายเก่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง
ธงคำตอบ
นายเก่งปีนเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางดึก โดยไม่มีผู้ใดนัดหมายหรืออนุญาตให้เข้าไป เป็นการเข้าไปโดยพลการ จึงเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร นายเก่งมีความผิดฐานบุกรุกเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364
นายเก่งชวนนางสาวสดออกมาจากบ้าน แม้นางสาวสดจะยินยอมมาด้วย ก็ถือเป็นการพรากผู้เยาว์ไปจากการปกครองดูแลของนายเข้มและนางเขียวบิดามารดาแล้ว แต่ไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก เพราะนายเก่งมิได้พรากนางสาวสดไปเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร เพียงแต่ต้องการหารือเรื่องการตั้งครรภ์ของนางสาวสดเท่านั้น
นายเก่งใช้กำลังทำร้ายนางสาวสด โดยเจตนาทำให้นางสาวสดแท้งลูก เมื่อเด็กคลอดออกมาโดยไม่มีชีวิตและเป็นเหตุให้นางสาวสดถึงแก่ความตาย นายเก่งมีความผิดฐานทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงไม่ยินยอม และเป็นเหตุให้หญิงนั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 303 วรรคสาม เมื่อการทำแท้งเกิดจากการทำร้าย มิได้มีเจตนาฆ่า และเป็นเหตุให้นางสาวสดถึงแก่ความตาย นายเก่งจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 290 วรรคหนึ่ง อีกบทหนึ่งด้วย
ข้อ 6. นายจุกทราบว่านางแต๋วภริยากำลังจะไปเล่นการพนัน
จึงขอร้องไม่ให้ไปเล่นเพราะนางแต๋วเล่นการพนันเสียเป็นประจำ
นางแต๋วนอกจากไม่เชื่อแล้วยังโต้เถียงไม่หยุดและยืนยันว่าจะไปเล่น
นายจุกจึงชกปากนางแต๋วอย่างแรงโดยทราบว่านางแต๋วใส่ฟันปลอมไว้
เป็นเหตุให้ริมฝีปากแตกเป็นแผลและฟันปลอมหักแตกกระจายใช้เคี้ยวอาหารไม่ได้
จากนั้นนายจุกกระชากสร้อยคอทองคำของนางแต๋วมาเก็บไว้
เพื่อไม่ให้นางแต๋วนำไปเล่นการพนัน ต่อมาอีก 3 วัน นายจุกเปลี่ยนใจยกสร้อยคอดังกล่าวให้นางสาวสมรที่นายจุกหลงชอบมานานแล้ว
ให้วินิจฉัยว่า
นายจุกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดบ้าง
ธงคำตอบ
กรณีที่นายจุกใช้กำลังประทุษร้ายแย่งสร้อยคอทองคำมาจากนางแต๋ว ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคหนึ่ง เพราะไม่มีเจตนาเอาสร้อยคอเป็นของตน เพียงต้องการเก็บรักษาไว้ไม่ให้นางแต๋วนำไปเล่นการพนัน (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่2188/2545)
การที่นายจุกชกปากนางแต๋วอย่างแรงจนริมฝีปากแตก ถือว่านางแต๋วได้รับอันตรายแก่กาย นายจุกมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ส่วนกรณีการชกทำให้ฟันปลอมของนางแต๋วหักแตกกระจายไม่อาจใช้เคี้ยวอาหารได้นั้น เมื่อฟันปลอมเป็นเพียงทรัพย์มิใช่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย นายจุกจึงไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 297 แต่นายจุกเล็งเห็นผลได้ว่าการชกนั้นจะถูกฟันปลอม นายจุกคงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามมาตรา 358
ส่วนที่นายจุกเอาทรัพย์ของนางแต๋วที่อยู่ในความครอบครองของตนไปยกให้นางสาวสมร เป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต นายจุกจึงมีความผิดฐานยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก
ข้อ 7. ในปี
2554
นายวีร์เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งได้รับเงินเดือน เดือนละ 50,000 บาท
และได้รับเงินค่าเบี้ยเลี้ยเหมาจ่ายเป็นรายเดือนอีกเดือนละ 20,000 บาท นอกจากนี้บริษัทยังจ่ายเงินค่าเช่าบ้านให้อีกเดือนละ
30,000 บาท และนายวีร์ได้เปิดร้านขายเปียโนมือสองโดยมิได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 นายวีร์นำเข้าเปียโนมือสองจากประเทศญี่ปุ่น 10 หลัง
ราคารวม 1,000,000 บาท เสียภาษีมูลค่าเพิ่มขณะนำเข้าเป็นเงิน 70,000 บาท
นายวีร์ต้องการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว
จึงยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและได้รับใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ลงวันที่
15 พฤษภาคม 2554
ให้วินิจฉัยว่า (ก)
นายวีร์ต้องนำเงินค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายและเงินค่าเช่าบ้าน
มารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่
(ข) นายวีร์จะขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้ชำระขณะนำเข้าเปียโน
จำนวน 70,000 บาท ได้หรือไม่
ธงคำตอบ
(ก) เงินค่าเบี้ยเลี้ยงที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(1) จะต้องเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งลูกจ้างได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตน และได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น แต่ค่าเบี้ยเลี้ยงที่บริษัทจ่ายให้นายวีร์นั้นเป็นการเหมาจ่ายรายเดือน จึงไม่เข้าลักษณะเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับยกเว้นเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนั้น นายวีร์จึงต้องนำเงินค่าเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่5330/2537 ,4842/2540)
ส่วนเงินค่าเช่าบ้านที่บริษัทนายจ้างจ่ายให้ ถือเป็นประโยชน์ที่นายวีร์ซึ่งเป็นลูกจ้างได้รับ อันเป็นเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1) ดังนั้น นายวีร์จึงต้องนำเงินค่าเช่้าบ้านมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย
ข้อ 8. นายดำและนายแดงเป็นลูกจ้างของบริษัทเขียวเกษตร
จำกัด ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2552 เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2554 ในระหว่างเวลาทำงาน นายดำออกไปทำธุระนอกที่ทำงานโดยมิได้ลากิจให้ถูกต้อง
บริษัท เขียวเกษตร จำกัด
มีหนังสือเตือนนายดำในการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าว
หนังสือเตือนลงวันที่ 30 มกราคม 2554
ต่อมานายดำไม่ไปทำงานวันที่ 20 ละ 21 มกราคม 2554 โดยไม่ได้แจ้งให้หัวหน้างานทราบ แต่ในวันที่ 22
มกราคม 2554 นายดำมาทำงานตามปกติอ้างว่าที่ไม่มาทำงานเพราะปวดท้อง ขอลาป่วย
แต่ไม่ยื่นหนังสือลาป่วยและไม่มีใบรับรองของแพทย์
ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัท
ส่วนนายแดงไม่พอใจนายจันทร์ซึ่งเป็นหัวหน้างานที่นำเรื่องการกระทำผิดของนายดำไปฟ้องผู้จัดการบริษัทเขียวเกษตร
จำกัด จึงไปต่อว่าและร้องตะโกนด่านายจันทร์ต่อหน้าลูกจ้างคนอื่น ๆ
ผู้จัดการเรียกนายแดงมาพบ นายแดงได้ขอโทษเรื่องอารมณ์ร้อนและขอขมาโทษต่อนายจันทร์
และได้ทำหนังสือยอมรับผิดมีข้อความว่า
นายแดงรับว่าได้ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัท
จะปรับปรุงแก้ไขตนเองไม่กระทำความดังกล่าวอีก หนังสือยอมรับผิดของนายแดงลงวันที่
30 มกราคม 2554
ผู้จัดการรับหนังสือยอมรับผิดของนายแดงไว้และมีคำสั่งย้ายนายแดงไปทำงานแผนกอื่นแทน
หลังจากย้าย แผนกทำงานได้ 10 เดือน
นายแดงก็เกิดเหตุโต้เถียงกับนายอังคารซึ่งเป็นหัวหน้างานคนใหม่และร้องตะโกนด่าทอนายอังคารต่อหน้าลูกจ้างคนอื่น
ๆ อีก
ให้วินิจฉัยว่า
บริษัทเขียวเกษตร จำกัด จะเลิกจ้างนายดำและนายแดงโดยไม่จ่ายค่าชดเชยได้หรือไม่
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีลูกจ้างฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
กรณีของนายดำ การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานครั้งแรกเป็นเรื่องลากิจไม่ถูกต้อง ส่วนการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานครั้งหลังเป็นเรื่องลาป่วยไม่ถูกต้อง เป็นคนละเรื่องกัน การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายดำครั้งหลัง จึงมิใช่เป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน นอกจากนี้หนังสือเตือนในการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานครั้งแรกของนายดำก็สิ้นผลบังคับไปแล้ว เพราะหนังสือเตือนมีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างกระทำผิด มิใช่นับแต่วันที่นายจ้างออกหนังสือเตือน บริษัทเขียวเกษตร จำกัด จะเลิกจ้างนายดำโดยไม่จ่ายค่าชดเชยไม่ได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 6910/2546)
กรณีของนายแดง แม้การที่นายแดงร้องตะโกนด่านายจันทร์และนายอังคารจะเป็นการกระทำต่อหัวหน้างานคนละคนกัน แต่ก็เป็นการกระทำผิดในเหตุเดียวกัน การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายแดงครั้งหลังเป็นการกระทำผิดซ้ำกับการกระทำครั้งแรก แต่หนังสือยินยอมรับผิดของนายแดงที่รับว่า นายแดงได้กระทำผิดและจะปรับปรุงแก้ไขตนเอง จะไม่กระทำผิดอีกนั้น มิใช่หนังสือเตือนของนายจ้าง ดังนั้น แม้นายแดงจะกระทำผิดครั้งหลังภายใน 1 ปี ก็ตาม ก็ไม่ถือว่านายแดงกระทำผิดซ้ำคำเตือน ฉะนั้น บริษัทเขียวเกษตร จำกัด จะเลิกจ้างนายแดงโดยไม่จ่ายค่าชดเชยไม่ได้เช่นเดียวกัน (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 7353/2544)
ข้อ 9. นายบุญมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนที่ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุยุบสภา
ต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไป
นายบุญมาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งเดิมอีก
ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปไม่นาน
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ขอให้วินิจฉัยว่า นายบุญมาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนเป็นเท็จ
ให้นายบุญมาพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กับห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปี
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 263 และขอให้ลงโทษทางอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. 2542 มาตรา 119 นายบุญมาให้การต่อสู้คดีว่า
ตนมิได้จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่มีอำนาจพิพากษาให้ตนพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน
เพราะกรณีตามคำร้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อน
และไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ในส่วนอาญาเพราะไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจ
หากข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนฟังได้ว่า
นายบุญมาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ
ให้วินิจฉัยว่า (ก)
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาให้นายบุญมาพ้นจากตำแหน่งสมาชิกผู้แทนราษฎรที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันได้หรือไม่
(ข) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิพากษาลงโทษนายบุญมาในคดีส่วนอาญาหรือไม่
ธงคำตอบ(ก) แม้กรณีตามคำร้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะที่นายบุญมาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อน แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายบุญมาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนเป็นเท็จ นายบุญมาย่อมต้องห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่งเป็นเวลาห้าปี นับแต่วันที่ศาลวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263 วรรคสอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงมีคำพิพากษาให้นายบุญมาพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ อม.3/2555)
(ข) แม้ไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาพิพากษาคดีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จในส่วนที่เป็นความผิดทางอาญาโดยชัดแจ้งก้ตาม แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบเหมือนกันและบันทึกเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีหมายเหตุระบุว่า ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจวินิจฉัยคดีประเภทนี้แทนศาลรัฐธรรมนูญเพราะจะต้องพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำผิดทางอาญา (เทียบคำิพิพากษาฎีกาที่ อม.12/2551) นอกจากนี้เมื่อให้อำนาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติยื่นคำร้องว่า นายบุญมาจงใจยื่นบัญชีฯเป็นเท็จ อันเป็นคำขอหลักหรือคำขอประธานแล้ว ในส่วนความผิดอาญาซึ่งเป็นคำขอรองหรือคำขออุปกรณ์ก็สมควรจะได้วินิจฉัยโดยศาลเดียวกัน เพื่อความสะดวกรวดเร็วไม่ลักลั่น และไม่เกิดปัญหาคำวินิจฉัยขัดกัน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษนายบุญมาในคดีส่วนอาญาได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ อม.4/2555)
ข้อ 10. เทศบาลแห่งหนึ่งได้ประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจเข้าประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาล
เนื่องจากเทศบาลต้องการให้เอกชนเช่าทำธุรกิจโรงแรม เมื่อกระบวนการประกวดราคาสิ้นสุดลงปรากฏว่าบริษัทเอ
จำกัด ชนะการประกวดราคา เทศบาลจึงคัดเลือกให้บริษัทเอ จำกัด
เข้าทำสัญญาแต่เนื่องจากปริมาณงานตามที่กำหนดไว้ในสัญญาที่จะลงนามกันนั้นไม่ตรงกับใบเสนอมราคา
บริษัทเอ จำกัด จึงไม่ยอมเข้าทำสัญญาด้วย เทศบาลจึงประกาศยกเลิกการประกวดราคา บริษัทเอ
จำกัด เห็นว่าประกาศดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งแต่ไม่เป็นผล
จึงนำคดีไปฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนประกาศยกเลิกการประกวดราคา
เทศบาลโต้แย้งว่าสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมเทศบาลดังกล่าวเป็นสัญญาทางแพ่ง
และฟ้องคดีเกี่ยวกับการยกเลิกการประกวดราคาอันเป็นขั้นตอนก่อนการทำสัญญาทางแพ่งกรณีนี้บริษัทเอ
จำกัด ต้องไปฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรม
ให้วินิจฉัยว่า
ข้อโต้แย้งของเทศบาลทั้งสองประการฟังขึ้นหรือไม่
ธงคำตอบ
สัญญาจ้างก่อสร้างปรับปรุงอาคารโรงแรมที่เทศบาลจะทำกับบริษัท เอ จำกัด แม้จะมีคู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่ง ซึ่งได้แก่เทศบาล เป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่โดยที่เทศบาลมิได้ประสงค์จะใช้อาคารโรงแรมเป็นเครื่องมือในการจัดทำบริการสาธารณะที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตน แต่เพื่อแสวงประโยชน์ในทางธุรกิจอันเป็นกิจกรรมทางพาณิชย์ สัญญาดังกล่าวจึงมิได้มีลักษณะเป็นสัญญาจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นสัญญาทางปกครองตามนัยบทนิยาม "สัญญาทางปกครอง" ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แต่เป็นสัญญาทางแพ่ง ข้อโต้แย้งของเทศบาลประการแรกจึงฟังขึ้น(เทียบคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 1/2555)
แม้สัญญาที่หน่วยงานทางปกครองทำหรือจะทำกับบุคคลอื่นตามผลการประกวดราคาจะเป็นสัญญาทางแพ่งแต่ประกาศยกเลิกการประกวดราคาถือเป็นการสั่งยกเลิกกระบวนการพิจารณาคำเสนอ และเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามนัยบทนิยาม "คำสั่งทางปกครอง" ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 การที่บริษัทเอ จำกัด เห็นว่าประกาศยกเลิกการประกวดราคาของเทศบาลไม่ชอบด้วยกฎหมายและนำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนประกาศดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมาตรา 9 วรรคหนึ่ง(1)แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 บัญญัติให้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ต้องฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ไม่ใช่ศาลยุติธรรม ข้อโต้แย้งของเทศบาลประการที่สองจึงฟังไม่ขึ้น
ทำได้5ข้อหมดเวลาซะก่อน เสียได้มากเลยตอบได้ค่อนข้างตรงกับธงคำตอบ มีข้อ10 ที่ตีความมาตรา9ผิดไปหน่อยถูกแค่ส่วนแรก ไว้ปีหน้าไม่พลาดแน่ๆต้องเขียนให้กระชับจะได้ทันเวลา
ตอบลบสู้ต่อไปนะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
ลบสรุปว่าที่ทำได้5ข้อ ได้ 7คะแนน3ข้อ ได้6 คะแนน1ข้อ และปกครองได้4คะแนนเพราะตอบถูกแค่ประเด็นเดียว
ลบยังเสียดายไม่หาย ถ้าบริหารเวลาดีกว่านี้ทำเพิ่มอีสัก3ข้อน่าจะผ่าน ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะสำหรับธงคำตอบ
จะมีธงคำตอบแพ่งมาลงด้วยมั้ยคะ
ตอบลบบล็อกมีประโยชน์มากค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับความตั้งใจดี
มีแน่นอนครับ แต่รออีกสักพักนะครับ ได้ธงมาเมื่อไรจะลงให้ทันทีเลยครับ
ลบขอบคุณมากๆเลยค่ะ
ตอบลบยินดีครับ
ลบมีเจ้าของเว็บไซต์บางท่านได้ก๊อปปี้บทความนี้ที่ผมอุตส่านั่งพิมพ์ไปทั้งดุ้นไปใช้เพื่อประโยชน์ของเว็บไซต์ตนเอง แต่ไม่เป็นไรครับ แบ่งๆกันครับ มีอะไรผมก็ขอแบ่งบ้างนะคร๊าบ
ตอบลบขอธงแพ่งเนติ สมัย65 ด้วยครับ
ตอบลบลงธงคำตอบเน วิชาแพ่ง สมัย65 ไว้ให้แล้วนะครับ
ลบปิดทองหลังพระ ก็ได้บุญเหมือนกันค่ะ
ตอบลบเป็นกำลังใจให้ ^^
ขอบคุณมากๆคร๊าบ
ลบการปิดทองหลังองค์พระปฏิมานั้น เเม้คนอื่นจะมองไม่เห็นเเต่ตัวเราเองก็ภูมิใจที่สุดเเล้วครับ เป็นกำลังใจให้กับท่านเจ้าของบล็อค สู้ๆๆๆๆๆๆๆครับ
ตอบลบขอบคุณมากครับ เป็นกำลังใจที่ดียิ่งครับ
ลบเราทำอะไรเรารู้แก่ใจ คุณทำดีแค่ไหน คุณรู้แก่ใจ
ตอบลบและตอนนี้ดีใจด้วยครับ มีผมเพิ่มมาอีกคนที่รู้ว่าคุณทำดี
ขอบคุณมากครับในความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่คุณมีให้
ขอให้กรรมดีที่คุณได้ทำส่งผลให้คุณประสพความสุขความเจริญนะครับ
(ขออภัย หากผมจริงจังมากไป แค่อยากให้รู้ว่า ผมขอบคุณจากใจจริงๆ)
ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้จริงจังมากไปหรอกครับ ต้องขอบคุณจริงๆเลยครับที่คุณรู้สึกแบบนั้น เป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ดียิ่งสำหรับผมในการพัฒนาบล็อกให้ดียิ่งขึ้นต่อไปในอนาคตครับ
ลบ