คำถาม
ก่อสร้างตอม่อ
ทำคานปูนและปักเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กซึ่งเป็นฐานรากของโรงเรือนซึ่งเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ใต้ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น จะอ้างว่าได้ภาระจำยอมโดยอายุความได้หรือไม่
คำตอบ
มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๒๓๘/๒๕๔๖
ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสองสร้างฐานรากของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตตามฟ้องจริง
ปัญหาข้อต่อมาที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า
จำเลยทั้งสองได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินส่วนที่รุกล้ำดังกล่าวโดยอายุความนั้น เห็นว่า
การที่จำเลยทั้งสองสร้างฐานรากของโรงเรือนซึ่งเป็นส่วนที่ฝังอยู่ใต้ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยมีเจตนาเพื่อซ่อนเร้นปกปิดการกระทำที่ไม่ชอบของตน จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินส่วนที่รุกล้ำของโจทก์โดยเปิดเผยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา
๑๓๘๒ ประกอบมาตรา ๑๔๐๑
ดังนั้น
แม้จะมีการครอบครองมานานเท่าใด
จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าว
คำถาม
ผู้กู้นำโฉนดที่ดินมอบให้ผู้ให้กู้ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ ผู้ให้กู้จะมีสิทธิยึดโฉนดที่ดินหรือไม่ และหากผู้ให้กู้คืนโฉนดที่ดินแก่ผู้กู้ไป
จะเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
๑. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๙๔/๒๕๔๖
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า
ผู้ร้องมีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินฉบับพิพาทหรือไม่ เห็นว่า
ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองโฉนดที่ดินก็โดยจำเลยผู้เป็นลูกหนี้เงินกู้มอบให้ยึดถือเป็นประกันเงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารท้ายคำร้อง
ผู้ร้องจึงมีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้คืนโดยอาศัย ข้อตกลงในหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวนั้นเอง แต่สิทธิยึดถือโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นเพียงบุคคลสิทธิบังคับกันได้ระหว่างคู่สัญญาไม่สามารถใช้ยันแก่บุคคลอื่นได้ ส่วนสิทธิยึดหน่วงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๒๔๑ หมายถึง การที่ผู้ครอบครองได้ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นและมีหนี้อันเป็นคุณแก่ผู้ครอบครองเกี่ยวด้วยทรัพย์สินที่ครอบครองนั้น
หนี้ที่ผู้ร้องมีเป็นเพียงหนี้เงินกู้ที่ผู้ร้องจะได้รับชำระหนี้คืนเท่านั้นหาได้เป็นคุณแก่ผู้ร้องเกี่ยวด้วยที่ดินโฉนดดังกล่าวไม่ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดีแก่ที่ดินดังกล่าว
ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินฉบับพิพาท
๒. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๑๘/๒๕๑๕
ในประเด็นที่ว่า การที่โจทก์ได้คืนโฉนดให้จำเลยที่ ๑
ไปนั้น จำเลยที่ ๒
ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๖๙๗ นั้น
ต้องเป็นสิทธิที่ให้อำนาจแก่เจ้าหนี้เหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ เช่น
การจำนอง จำนำ หรือบุริมสิทธิ โฉนดเป็นเพียงเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในตัวทรัพย์ จำเลยที่
๑
มอบโฉนดให้โจทก์ยึดถือไว้ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิใดๆ ในตัวทรัพย์
คือที่ดินตามโฉนด การที่โจทก์คืนโฉนดให้จำเลยที่ ๑
ไป
จึงไม่เป็นเหตุทำให้จำเลยที่
๒
ผู้ค้ำประกันพ้นความรับผิดไปได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๓๑/๒๔๗๔
๓. เจ้าหนี้ให้ลูกหนี้กู้เงินโดยลูกหนี้มอบโฉนดให้ยึดไว้เป้นประกันนั้น ไม่มีสิทธิยึดหน่วงตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๔๑ จึงไม่ใช่เจ้าหนี้มีประกันตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ
มาตรา ๖ เมื่อลูกหนี้ต้องคำพิพากษาให้ล้มละลาย เจ้าหนี้จะยื่นคำขอรับชำระหนี้เกิน ๒
เดือนไม่ได้ ตาม พ.ร.บ.
ล้มละลาย มาตรา ๙๑
(ฎีกาที่ ๕๔๕/๒๕๐๔)
๔. ข้อตกลงที่ผู้ค้ำประกันยอมให้เจ้าหนี้ยึดถือโฉนดไว้จนกว่าเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ครบถ้วนนั้น ไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ กรณีเช่นนี้ไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาจำนอง
เพราะเจ้าหนี้มิได้มีสิทธิพิเศษในที่ดินอันเป็นตัวทรัพย์นั้น (ฎีกาที่
๕๐๕/๒๕๐๗)
เพียงเอาโฉนดที่ดินมาให้ผู้ให้กู้ยึดถือไว้ตามสัญญากู้ มิใช่หนี้ที่มีประกันตามกฎหมาย (ฎีกาที่
๑๖๑๒/๒๕๑๒)
๕. จำเลยให้โจทก์กู้เงินยึดโฉนดไว้เป็นประกัน หนี้ขาดอายุความ โจทก์เรียกโฉนดคืนได้ มิใช่จำนำที่จะบังคับตามมาตรา ๑๘๙
(ฎีกาที่ ๒๒๙/๒๕๒๒ ประชุมใหญ่)
๖. กู้เงินมอบโฉนดให้เจ้าหนี้ยึดไว้
เมื่อลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ก็เรียกโฉนดคืนไม่ได้ (ฎีกาที่
๔๑๖/๒๕๒๐)
โจทก์ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำเลย
โดยจำเลยยึดถือโฉนดรายพิพาทกับใบมอบอำนาจที่โจทก์ให้ไว้ยังมิได้นำไปจดทะเบียนจำนองเป็นหลักประกันตามที่ตกลงกัน
เมื่อโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยมากกว่าที่โจทก์เสนอจะชำระให้แก่จำเลย
จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ และ ยึดถือโฉนดไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้นได้ (ฎีกาที่
๙๔๒/๒๕๒๗)
คำถาม
กรณีลูกหนี้ทำสัญญาจะขายทรัพย์เฉพาะสิ่งแล้ว กลับเอาทรัพย์นั้นไปโอนขายแก่ผู้อื่น
ผู้ซื้อรายแรกจะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อรายหลังได้หรือไม่
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๙๒/๒๕๔๕
ก่อนที่จำเลยที่ ๑
จะทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๒ ทราบว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑
ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทต่อกันไว้ก่อนแล้วการที่จำเลยที่ ๒
ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๑
จึงเป็นการทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑
เสียเปรียบ
ถือว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำการฉ้อฉลโจทก์
โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๒๓๗
คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๓๘๔/๒๕๔๐
บทบัญญัติว่าด้วยการเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๒๓๗
มิได้บัญญัติให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิในทรัพยสิทธิเท่านั้นที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนได้ เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิในบุคคลสิทธิย่อมร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมใดๆ
อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบได้ด้วย และเมื่อวัตถุแห่งหนี้คือบ้านพร้อมที่ดินอันเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งซึ่งมีลักษณะเฉพาะไม่อาจใช้ทรัพย์อื่นมาโอนแทนได้ แม้ลูกหนี้จะมีทรัพย์สินอื่นพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ได้ ก็ยังทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบที่จะร้องขอให้เพิกถอนได้
คดีเรื่องนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่
๓ เป็นน้องภรรยาของจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการในนามของจำเลยที่ ๑
จึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ ๓
ซื้อบ้านพร้อมที่ดินพิพาทโดยรู้อยู่ว่าโจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์ดังกล่าวกับจำเลยที่ ๑
ก่อนแล้ว
โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายและการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๒๖๐๖๓
เพื่อจดทะเบียนโอนให้โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๒๓๗
ที่จำเลยที่ ๑
และที่ ๓ ฎีกาว่า
สัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑
เป็นเพียงบุคคลสิทธิ
หาใช่ทรัพยสิทธิ
โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ ๑
กับที่ ๓ ไม่ได้นั้น
เห็นว่า
บทบัญญัติว่าด้วยการเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๒๓๗ มิได้บัญญัติให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิในทรัพยสิทธิเท่านั้นที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ดังนี้เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิในบุคคลสิทธิย่อมร้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมใดๆ
อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบได้ด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ ๑
และที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓
ฎีกาว่า
การเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๒๓๗
จะต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ แต่จำเลยที่
๑
มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ได้
ย่อมไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบนั้น
เห็นว่าวัตถุแห่งหนี้ในคดีนี้คือบ้านพร้อมที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง
ซึ่งมีลักษณะเฉพาะไม่อาจใช้ทรัพย์อื่นมาโอนแทนได้ ดังนี้แม้จำเลยที่ ๑
จะมีทรัพย์สินอื่นพอที่จะชำระหนี้แก้โจทก์ได้ ก็ยังทำให้โจทก์เสียเปรียบ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ ๑
และที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
คำถาม การปลอมเอกสารต้องมีเอกสารที่แท้จริงอยู่ก่อนและต้องทำให้เหมือนของจริงหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๙๕/๒๕๔๖
จำเลยที่ ๒
กับพวกร่วมกันทำปลอมหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ ฉบับลงวันที่
๒๖ สิงหาคม ๒๕๔๑
ระหว่างนายยืนยง ผู้ขาย กับนายเตือนใจ
ผู้ซื้อโดยจำเลยที่ ๒ กับพวกร่วมกันหลอกลวงนางเตือนใจว่า จำเลยที่
๒
เป็นบุคคลคนเดียวกับนายยืนยงซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกเลขทะเบียน ภ – ๗๘๗๔
นครราชสีมา
และตกลงขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นางเตือนใจ ซึ่งความจริงแล้ว จำเลยที่
๒ กับนายยืนยงเป็นบุคคลคนละคนกัน
เห็นว่า การปลอมเอกสารไม่จำต้องมีเอกสารที่แท้จริงอยู่ก่อน
และไม่ต้องทำให้เหมือนของจริงก็เป็นเอกสารปลอมได้ จำเลยที่
๒ กับพวกหลอกลวงนางเตือนใจว่า จำเลยที่
๒ คือ นายยืนยงเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว และทำสัญญาซื้อขายรถยนต์คันนั้น โดยพวกของจำเลยที่ ๒
ลงลายมือชื่อนายยืนยง
ในช่องผู้ขายในสัญญาดังกล่าวมอบให้นางเตือนใจยึดถือไว้การกระทำของจำเลยที่ ๒
กับพวกมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ได้เงินจากนางเตือนใจ
และไม่ให้นางเตือนใจใช้สัญญาซื้อขายรถยนต์นั้นเป็นหลักฐานฟ้องเรียกเงินคืน ทำให้นางเตือนใจได้รับความเสียหาย จำเลยที่
๒ กับพวก จึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์อันเป็นเอกสารสิทธิ เมื่อจำเลยที่
๒
กับพวกได้มอบหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์นั้นให้นางเตือนใจยึดถือไว้ จำเลยที่
๒
กับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมอีกกระทงหนึ่ง รวมทั้งมีความผิดฐานฉ้อโกงด้วย
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น