สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายล้มละลาย ระบบศาลและพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ในการสอบภาคสอง สมัยที่
64 ปีการศึกษา 2554
วันอาทิตย์ที่ 25
มีนาคม 2555
คำถาม 10
ข้อ ให้เวลาตอบ 4
ชั่วโมง (14.00 น.
ถึง 18.00 น.)
ให้ยกเหตุผลประกอบคำตอบด้วย
ข้อ
1. โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่ง ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ศาลแพ่งมีคำสั่งรับคำฟ้องหมายเรียก ให้ส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยภายใน 7
วัน
ถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงภายใน
7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ หากไม่แถลงถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง วันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 24
ธันวาคม 2554
เจ้าพนักงานศาลนำส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้จำเลยโดยภริยาของจำเลยอายุ 21
ปี และอยู่บ้านเดียวกันเป็นผู้รับ ต่อมาวันที่
26 มกราคม 2555
จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแพ่งสั่งรับคำให้การของจำเลย
นัดชี้สองสถาน
วันรุ่งขึ้นโจทก์ยื่นคำร้องว่า
ศาลสั่งรับคำให้การของจำเลยไม่ชอบ
ทำให้เพิกถอนคำสั่ง ถัดมาอีก 2
วัน
จำเลยจึงยื่นคำร้องว่าการส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้จำเลยในวันหยุดราชการไม่ชอบ
ขอให้ส่งใหม่
ให้วินิจฉัยว่า
ศาลแพ่งจะมีคำสั่งวินิจฉัยตามคำร้องของโจทก์และจำเลยอย่างไร
ธงคำตอบ
การส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่นใด
โดยเจ้าพนักงานศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
74 นั้น มิได้กำหนดห้ามส่งในวันหยุดราชการ ดังนั้น
การส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้จำเลยในวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการจึงชอบ (คำพิพากษาฎีกาที่ 3501/2545)
และตามมาตรา 76 วรรคหนึ่ง
การส่งคำคู่ความหรือเอกสารให้คู่ความ
เมื่อเจ้าพนักงานศาลไม่พบคู่ความ
หากได้ส่งให้แก่บุคคลใดๆ
ที่มีอายุเกินยี่สิบปี ซึ่งอยู่หรือทำงานในบ้านเรือน
หรือสำนักทำการงานที่ปรากฏว่าเป็นของคู่ความ
ถือว่าเป็นการเพียงพอที่จะฟังว่าได้มีการส่งคำคู่ความหรือเอกสารถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
ตามข้อเท็จจริงการส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้จำเลยโดยภริยาของจำเลยซึ่งอายุเกินยี่สิบปี และอยู่ในบ้านเดียวกันเป็นผู้รับจึงชอบ (คำพิพากษาฎีกาที่ 4293/2547)
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
177 วรรคหนึ่ง จำเลยอาจยื่นคำให้การได้ภายใน 15
วัน
นับแต่วันได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง
ปรากฏว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2554
แต่ยื่นคำให้การเมื่อวันที่
26 มกราคม 2555
พ้นกำหนดระยะเวลา 15 วันแล้ว
ศาลแพ่งสั่งรับคำให้การของจำเลยไว้จึงไม่ชอบเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตาม มาตรา
27
ศาลแพ่งต้องสั่งตามคำร้องของโจทก์ให้เพิกถอนคำสั่งรับคำให้การของจำเลยและสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องใหม่
ข้อ
2. นายศุกร์เป็นโจทก์ฟ้องนายเสาร์เป็นจำเลยที่ 1
นายอาทิตย์เป็นจำเลยที่ 2 อ้างว่า
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2
ได้ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่
2 โดยประมาทเลินเล่อ ชนรถยนต์โจทก์เสียหาย
ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 400,000 บาท
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า
เหตุละเมิดเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1
พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ คดีถึงที่สุด
นายอาทิตย์ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว
ต่อมานายอาทิตย์ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายเสาร์เป็นจำเลยขอให้ชดใช้เงินที่นายอาทิตย์ได้ชำระตามคำพิพากษาให้แก่นายศุกร์ นายเสาร์ให้การว่า ไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อ คำพิพากษาคดีก่อนไม่มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยคดีนี้ และฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายเสาร์ทั้งสองข้อฟังขึ้นหรือไม่
ธงคำตอบ
กรณีฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
148 นั้น เป็นเรื่องที่ห้ามมิให้คู่ความซึ่งฟ้องร้องกัน และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วกลับมารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน
เมื่อนายเสาร์และนายอาทิตย์ไม่เคยฟ้องร้องกันมาก่อน เป็นแต่เคยถูกนายศุกร์ฟ้องเป็นจำเลยด้วยกันในคดีก่อนเท่านั้น ดังนั้น
การที่นายอาทิตย์เป็นโจทก์ฟ้องนายเสาร์ในคดีหลังกรณีจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำอันจักต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ข้อต่อสู้ของนายเสาร์ฟังไม่ขึ้น
ข้อต่อสู้ของนายเสาร์ที่ว่า ไม่ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อนั้น
คดีก่อนที่นายศุกร์เป็นโจทก์ฟ้องนายเสาร์และนายอาทิตย์เป็นจำเลย แม้นายเสาร์และนายอาทิตย์จะเป็นจำเลยด้วยกันก็ตาม
ก็ต้องถือว่านายเสาร์และนายอาทิตย์เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีก่อนด้วย
คำพิพากษาคดีก่อนจึงมีผลผูกพันนายเสาร์และนายอาทิตย์ในคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
145 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลในคดีก่อนวินิจฉัยว่า เหตุละเมิดเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของนายเสาร์
ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่านายเสาร์กระทำละเมิดโดยเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อ (คำพิพากษาฎีกาที่ 3954/2536, 9035/2538) ข้อต่อสู้ของนายเสาร์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ข้อ
3. โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของนางแดงมารดาตามคำสั่งศาล นางแดงมีทรัพย์มรดกเป็นที่ดิน น.ส.3
เลขที่ 305 จำเลยที่
1
บุตรอีกคนหนึ่งของนางแดงได้แจ้งความเท็จว่า น.ส.3
เลขที่ 305 สูญหายไปและจำเลยที่ 1
ได้รับมอบอำนาจจากนางแดงให้ไปดำเนินการขอออกใบแทน เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงได้ออกใบแทนให้ แล้วจำเลยที่
1 จดทะเบียนโอนขายที่ดิน น.ส.3
เลขที่ 305 ดังกล่าวแก่จำเลยที่ 2
โดยอ้างว่า
ได้รับมอบอำนาจให้ขายจากนางแดงซึ่งเป็นความเท็จ
ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายดังกล่าวออกจากรายการจดทะเบียนใน น.ส.3
และให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวยังเป็นทรัพย์มรดกของนางแดงเพื่อโจทก์จะได้นำไปแบ่งปันกันในระหว่างทายาท จำเลยทั้งสองให้การว่า นางแดงได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1
ไปดำเนินการขอออกใบแทนและให้ขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 จึงรับโอนมาโดยชอบที่ดินพิพาทย่อมมิใช่ทรัพย์มรดกของนางแดงอีกต่อไป
ก่อนตายนางแดงมีที่ดินอีกแปลงหนึ่งคือที่ดิน น.ส.3
เลขที่ 413 อันเป็นทรัพย์มรดก แต่โจทก์ไม่ยอมแบ่งให้จำเลยที่ 1
ข้อให้ยกฟ้อง
และฟ้องแย้งขอให้โจทก์แบ่งปันที่ดิน
น.ส.3 เลขที่ 413
ให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวนหนึ่งในสองส่วน
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณา
ให้วินิจฉัยว่า
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาชอบหรือไม่
ธงคำตอบ
จำเลยทั้งสองฟ้องแย้งในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดิน น.ส.3
เลขที่ 413 ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกของนางแดงซึ่งตกทอดแก่ทายาทอันได้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1
แต่โจทก์ไม่ยอมแบ่งให้จำเลยที่ 1
ขอให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของนางแดงแบ่งปันที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1
จำนวนหนึ่งในสองส่วน ดังนี้ เป็นกรณีจำเลยที่ 1 โต้แย้งสิทธิกับโจทก์ จำเลยที่
2
มิได้มีสิทธิทางแพ่งโต้แย้งกับโจทก์แต่อย่างใด จำเลยที่
2 จึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้ง ฟ้องแย้งในส่วนของจำเลยที่ 2
จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
ไม่อาจพิจารณารวมไปกับฟ้องเดิมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
177 วรรคสาม และมาตรา
179 วรรคสาม (คำพิพากษาฎีกาที่ 1644/2549)
ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้องแย้งในส่วนของจำเลยที่ 2
ไว้พิจารณาจึงไม่ชอบ
สำหรับฟ้องแย้งในส่วนของจำเลยที่ 1
นั้น
แม้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของนางแดงผู้ตายจะฟ้องเรียกที่ดิน น.ส.3
เลขที่ 305
ที่โจทก์อ้างว่าเป็นมรดกของนางแดงคืนจากจำเลยทั้งสองเพื่อนำมาแบ่งปันกันในระหว่างทายาท โดยมิได้ฟ้องเรียกที่ดิน น.ส.3
เลขที่ 413 มาด้วยก็ตาม
แต่ฟ้องแย้งในส่วนของจำเลยที่ 1 ที่เรียกที่ดิน น.ส.3
เลขที่ 413 จากโจทก์จำนวนหนึ่งในสองส่วนก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับการแบ่งปันทรัพย์มรดกของนางแดงเช่นเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
ในส่วนนี้จึงเกี่ยวกับฟ้องเดิมและเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
177 วรรคสาม และ
มาตรา 179 วรรคสาม
(คำพิพากษาฎีกาที่ 1644/2549)
ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องแย้งในส่วนของจำเลยที่ 1
ไว้พิจารณาจึงชอบแล้ว
ข้อ
4. คดีแพ่งสามัญเรื่องหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ จำเลยที่
1 และที่ 2
ให้การต่อสู้คดี ส่วนจำเลยที่ 3
ต้องยื่นคำให้การภายในวันที่
8 กุมภาพันธ์ 2555
แต่ไม่ยื่น ต่อมาวันที่ 20
กุมภาพันธ์ 2555 อันเป็นวันสืบพยาน โจทก์และจำเลยทั้งสามมาศาล จำเลยทั้งสามแถลงรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง คู่ความแถลงขอเลื่อนคดีเพื่อเจรจากัน ศาลชั้นต้นงดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 20
มีนาคม 2555 ถึงวันนัด
โจทก์แถลงว่าไม่สามารถตกลงกันได้
ขอให้ศาลพิพากษาคดี จำเลยที่ 3
แถลงประสงค์จะต่อสู้คดี
ขออนุญาตยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยที่
3 ยื่นคำให้การ และมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่ได้มีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดภายในเวลา 15
วัน
นับแต่ระยะเวลายื่นคำให้การของจำเลยที่
3 ได้สิ้นสุดลง จึงให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 3
ออกจากสารบบความ
และมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่
2 ร่วมกันชำระเงินตามฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า ในวันที่
20 กุมภาพันธ์ 2555
จำเลยที่ 3 มาศาลและแถลงยอมรับว่าเป็นหนี้ตามฟ้องจริง ศาลชั้นต้นจดคำแถลงของจำเลยที่ 3
ในรายงานกระบวนพิจารณาและจำเลยที่ 3 ได้ลงชื่อไว้ด้วย ถือว่าจำเลยที่ 3
ยื่นคำให้การแล้ว ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาคดีได้ โดยโจทก์ไม่ต้องมีคำขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด
การที่ศาลชั้นต้นเลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาวันอื่นย่อมไม่ทำให้โจทก์ต้องมีหน้าที่ยื่นคำขออีก หรือมิฉะนั้น
ศาลชั้นต้นต้องไต่สวนคำขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยที่ 3
ก่อนว่าจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 3
ยื่นคำให้การโดยมิได้ไต่สวน
และมีคำสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่
3 จึงไม่ชอบ
ให้วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นหรือไม่
ธงคำตอบ
คำให้การเป็นคำคู่ความซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
67
ว่าให้ทำเป็นหนังสือโดยใช้แบบพิมพ์ของศาลและมีรายการต่างๆ ตามที่ระบุไว้
แม้ศาลชั้นต้นจะบันทึกคำแถลงของจำเลยไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาและจำเลยที่ 3
ได้ลงชื่อไว้ก็ไม่ถือว่ารายงานดังกล่าวเป็นคำให้การของจำเลยที่ 3
เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ถือว่าจำเลยที่ 3
ขาดนัดยื่นคำให้การและโจทก์ต้องมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดภายในเวลา 15
วันนับแต่ระยะเวลายื่นคำให้การของจำเลยที่
3 ได้สิ้นสุดลง แม้จำเลยที่
3 มาศาลก่อนระยะเวลาดังกล่าวสิ้นสุดลง แต่เมื่อศาลมิได้พิพากษาคดีในวันนั้น
ย่อมไม่ทำให้โจทก์หมดหน้าที่ที่จะต้องยื่นคำขอดังกล่าว เมื่อโจทก์มิได้ยื่นคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือตามมาตรา 198
วรรคสอง (คำพิพากษาฎีกาที่ 911/2548)
กรณีที่จำเลยที่ 3
ขาดนัดยื่นคำให้การมาศาลก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดี
หากประสงค์จะต่อสู้คดีต้องแจ้งต่อศาลในโอกาสแรกที่มาศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
199 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยที่
3 มาศาลครั้งแรกเมื่อวันที่ 20
กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยที่
3
แถลงต่อศาลยอมรับว่าเป็นหนี้ตามฟ้อง
และมาศาลครั้งที่สองวันที่ 20 มีนาคม
2555
จึงแถลงต่อศาลว่าประสงค์จะต่อสู้คดี
เห็นได้ว่าจำเลยที่ 3
มิได้แจ้งต่อศาลในโอกาสแรกที่มาศาลจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 199
วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นชอบที่จะยกคำขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยที่ 3
ได้โดยไม่ต้องทำการไต่สวนก่อนว่าจงใจขาดยื่นคำให้การหรือไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ข้อ
5. โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คจำนวนเงิน 190,000 บาท
ชำระหนี้ค่าอุปกรณ์ก่อสร้างให้แก่โจทก์
แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน
ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า
โจทก์หลอกลวงทำบิลรับของมาให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ โดยที่จำเลยไม่เคยได้รับสินค้าดังกล่าวจากโจทก์ เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้
และโจทก์เคยฟ้องจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ศาลพิพากษายกฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า
คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจ ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่เคยได้รับสินค้าจากโจทก์ เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า
โจทก์จัดส่งอุปกรณ์ก่อสร้างไม่ครบถ้วนและมีความชำรุดบกพร่อง โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริง กับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า
ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำโดยบรรยายรายละเอียดแห่งการเป็นฟ้องซ้ำมาด้วย
ให้วินิจฉัยว่า จำเลยจะฎีกาปัญหาดังกล่าวได้หรือไม่
ธงคำตอบ
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์
โจทก์หลอกลวงทำบิลรับของมาให้จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยที่จำเลยไม่เคยได้รับสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ มิได้ให้การต่อสู้ว่า โจทก์ส่งสินค้าให้จำเลยไม่ครบถ้วนและสินค้ามีความชำรุดบกพร่อง
ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
249 วรรคหนึ่ง (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2628/2545)
แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงก็ตาม ศาลฎีกาก็ไม่อาจพิจารณาให้ได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 755/2545)
จำเลยจึงฎีกาในปัญหาดังกล่าวไม่ได้
ฎีกาของจำเลยที่ว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำนั้น จำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การแล้ว
แม้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำวินิจฉัยว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยกลับมิได้อุทธรณ์ปัญหาข้อนี้
เท่ากับจำเลยไม่ติดใจที่จะอุทธรณ์โต้แย้งปัญหาดังกล่าวอีกต่อไป ศาลอุทธรณ์จึงมิได้วินิจฉัย การที่จำเลยหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาต่อมา
จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบให้ศาลอุทธรณ์
ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
249 วรรคหนึ่ง (คำพิพากษาฎีกาที่ 8491/2553, 8414/2552)
จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อนี้ไม่ได้เช่นกัน
ข้อ
6. โจทก์ฟ้องว่าโจทก์อยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส
ขอให้แบ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้งให้โจทก์แบ่งเงินตามตั๋วเงินสัญญาใช้เงินที่โจทก์แอบถอนไปจำนวน 1,000,000
บาท ให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่งจำนวน 500,000 บาท
เพราะเป็นเงินที่โจทก์กับจำเลยทำมาหาได้ร่วมกันในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยา ต่อมาในระหว่างพิจารณา
จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์โดยขอให้ศาลสั่งโจทก์นำเงินจำนวน 500,000 บาท
มาวางศาล
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า เงินจำนวน 1,000,000
บาท
เป็นเงินของบุคคลภายนอกที่ฝากโจทก์ไว้
และโจทก์เบิกถอนคืนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลทำการไต่สวน
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า
โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เงินจำนวน
1,000,000
บาท ที่จำเลยฟ้องแย้งนั้น มีการนำไปฝากที่สถาบันการเงินซึ่งสถาบันการเงินได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินในนามของจำเลย
ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นชื่อโจทก์และโจทก์ได้ถอนเงินจำนวน 1,000,000
บาท ตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นไป
ให้วินิจฉัยว่า ศาลจะมีคำสั่งอย่างไร
ธงคำตอบ
การขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
264
ต้องเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน
สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีนั้นได้รับการคุ้มครองในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา กรณีตามปัญหา
จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์แบ่งเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 1,000,000 บาท
ให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่งจำนวน 500,000
บาท
โดยอ้างว่าเป็นเงินที่ทำมาหาได้ร่วมกันในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยา
จึงถือได้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่พิพาทกันตามฟ้องแย้งของจำเลยที่จำเลยมีสิทธิขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาได้
และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นไต่สวนว่าโจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเงินจำนวน
1,000,000 บาท
นั้น
ได้มีการนำไปฝากที่สถาบันการเงินซึ่งสถาบันการเงินได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ในนามของจำเลย ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นชื่อโจทก์ และโจทก์ได้เบิกถอนเงินจำนวน 1,000,000 บาท ตามตั๋วสัญญาใช้เงินไป ซึ่งจากข้อเท็จจริงดังกล่าว
และหากที่สุดศาลพิพากษาให้โจทก์แบ่งเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยกึ่งหนึ่งจำนวน 500,000 บาท
ตามฟ้องแย้ง จำเลยก็จะได้รับประโยชน์จากการที่ศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองประโยชน์ตามคำร้องของจำเลย
กรณีจึงมีเหตุสมควรที่จะคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 264
ดังนั้น
ศาลจะมีคำสั่งให้โจทก์นำเงินจำนวน
500,000
บาท
มาวางศาลตามคำร้องของจำเลย
(คำพิพากษาฎีกาที่ 5982/2549)
ข้อ
7. ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1
และที่ 2 ร่วมกันใช้เงิน 500,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน
1 แปลงของจำเลยที่ 1
เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้
ต่อมาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขายทอดตลาด
เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งประกาศขายทอดตลาดแก่จำเลยที่ 1
โดยชอบ
แต่ไม่ส่งประกาศการขายทอดตลาดแก่จำเลยที่
2
โดยประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งที่
1 ในวันที่ 1
กุมภาพันธ์ 2554 เวลา
9 นาฬิกา และครั้งที่
2 วันที่ 28
กุมภาพันธ์ 2554 เวลา
9 นาฬิกา ในการขายทอดตลาดครั้งที่ 1
ไม่มีผู้เสนอราคา
เจ้าพนักงานบังคับคดีเลื่อนการขายทอดตลาดไป ต่อมาในการขายทอดตลาดครั้งที่ 2
จำเลยที่ 2 ทราบประกาศขายทอดตลาดจากจำเลยที่ 1
จึงไปร่วมการขายทอดตลาดครั้งนี้
มีผู้เสนอราคาสูงสุด 400,000บาท ก่อนเจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะไม้ จำเลยที่
2
คัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี
โดยอ้างเหตุ 2 กรณี
คือ
กรณีที่หนึ่ง
การขายทอดตลาดไม่ได้แจ้งประกาศขายทอดตลาดให้ตนทราบ และกรณีที่สอง
ราคาที่ผู้เสนอราคาดังกล่าวต่ำเกินสมควร
ขอให้เลื่อนการขายทอดตลาดไป
เจ้าพนักงานบังคับคดีอ้างว่า จำเลยที่ 2
ไม่มีสิทธิคัดค้านทั้งสองกรณีดังกล่าวและเคาะไม้ขายทอดตลาดแก่ผู้เสนอราคาสูงสุด จำเลยที่
2 ยื่นคำคัดค้านต่อศาลชั้นต้น ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดครั้งนี้ อ้างว่า
เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ให้วินิจฉัยว่า คำคัดค้านของจำเลยที่ 2
ฟังขึ้นหรือไม่
ธงคำตอบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
306 บัญญัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้ทราบซึ่งคำสั่งของศาลและวันขายทอดตลาดแก่บรรดาบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จะขายทอดตลาดซึ่งทราบได้ตามทะเบียนหรือโดยประการอื่นนั้น เมื่อที่ดินที่ขายทอดตลาดเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1
ไม่มีชื่อจำเลยที่ 2 ในทะเบียน
จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จะขายทอดตลาดตามบทบัญญัติดังกล่าว
เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่จำต้องแจ้งการขายทอดตลาดในจำเลยที่ 2 ทราบ ข้อคัดค้านข้อนี้ของจำเลยที่ 2
ฟังไม่ขึ้น
(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3798/2551)
ส่วนการขายทอดตลาดครั้งที่ 2
ที่เลื่อนมา
ผู้ซื้อทรัพย์เสนอราคา 400,000
บาท ได้เสนอราคาสูงสุด
ก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเคาะไม้ขายแก่ผู้ซื้อทรัพย์ จำเลยที่
2
คัดค้านว่าราคาดังกล่าวมีจำนวนต่ำเกินสมควร แม้ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1
แต่จำเลยที่ 2
เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งต้องร่วมรับผิดในการชำระหนี้ตามคำพิพากษาจึงมีสิทธิคัดค้านได้
ในกรณีเช่นนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องเลื่อนการขายทอดตลาดไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
309 ทวิ วรรคหนึ่ง
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่เลื่อนการขายไปโดยอนุมัติให้ขายทอดตลาดแก่ผู้ซื้อทรัพย์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่
2 จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะโต้แย้งว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 296
วรรคสอง
ข้อคัดค้านข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 5321/2552)
ข้อ
8. ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่
1 ทำสัญญากู้เงินไปจากโจทก์ 3,000,000
บาท
ตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ
12 ต่อปี และจำเลยที่
2
จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1
ต่อโจทก์ โดยมีข้อตกลงว่า หากบังคับจำนองแล้วยังไม่พอชำระหนี้ จำเลยที่
2
ยอมให้โจทก์บังคับจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2
ได้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน
จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้คืนตามสัญญา
จำเลยทั้งสองมีหนี้สินพ้นตัว
และเป็นหนี้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 3,500,000
บาท
ขอศาลมีคำสังพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้ยื่นคำให้การ ศาลล้มละลายกลางจึงมีคำสั่งว่า
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การเมื่อสืบพยานโจทก์ไปจนเสร็จและจำเลยทั้งสองไม่มีพยานมาสืบ
ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้อง
จึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด
ให้วินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่สั่งว่า
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การก็ดีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดก็ดี ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ธงคำตอบ
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.
2483 มาตรา 13
บัญญัติให้ศาลออกหมายเรียกและส่งสำเนาคำฟ้องไปยังลูกหนี้หรือจำเลยเพื่อทราบวันนั่งพิจารณาเท่านั้น
ไม่ได้บัญญัติว่าจำเลยจะต้องยื่นคำให้การด้วย ดังนั้น
ในคดีล้มละลายจำเลยจะยื่นคำให้การหรือไม่ก็ได้
หากจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การก็ไม่ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ คำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่สั่งว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3026/2551)
คดีสำหรับจำเลยที่ 1
นั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่
1
ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดามีหนี้สินล้นพ้นตัวเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่า 1,000,000
บาท
และหนี้ตามสัญญากู้เงินเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ครบหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.
2483 มาตรา 9
ที่โจทก์อาจฟ้องล้มละลายได้
ดังนั้น
การที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1
เด็ดขาด
จึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 14 แล้ว
ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 2
เนื่องจากโจทก์เป็นผู้รับจำนองจึงเป็นเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย
พ.ศ. 2483 มาตรา
6 แต่ตามคำฟ้องมิได้กล่าวในฟ้องว่า
ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้วจะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย
หรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องซึ่งเมื่อหักกับจำนวนหนี้ของตนแล้วเงินยังขาดอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000,000
บาท
ฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 10
(2)
ศาลชอบที่จะไม่รับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่
2 ไว้พิจารณาตั้งแต่แรก (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2193/2550)
และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่
2 ไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
142 (5)
ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.
2542 มาตรา 14
ศาลต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่
2 ดังนั้น
การที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2
เด็ดขาด จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อ
9. คดีฟื้นฟูกิจการเรื่องหนึ่ง บริษัท
อังคาร จำกัด
ลูกหนี้ยื่นคำร้องขอต่อศาลล้มละลายกลางให้มีการฟื้นฟูกิจการ และให้ตั้งบริษัทลูกหนี้เป็นผู้ทำแผน
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และตั้งบริษัทลูกหนี้เป็นผู้ทำแผน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โฆษณาคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและคำสั่งตั้งผู้ทำแผนแล้ว
ปรากฏว่านายพุธเจ้าหนี้รายหนึ่งยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีคำสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของนายพุธ
นายพุธโต้แย้งต่อศาลล้มละลายกลางโดยอ้างว่า การที่ตนยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลา
สืบเนื่องจากลูกหนี้มิได้ระบุชื่อและที่อยู่ของตนไว้ในบัญชีเจ้าหนี้
จึงเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่แจ้งคำสั่งตั้งผู้ทำแผนและกำหนดเวลาให้นายพุธเสนอคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย ดังนั้น
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงควรรับคำขอรับชำระหนี้ของตนไว้พิจารณาต่อไป
ให้วินิจฉัยว่า หากกรณีเป็นดังที่นายพุธกล่าวอ้าง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีเหตุตามกฎหมายที่จะรับคำขอรับชำระหนี้ของนายพุธไว้พิจารณา หรือไม่
ธงคำตอบ
นายพุธต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามแผนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งตั้งผู้ทำแผนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.
2483 มาตรา 90/26
หากยื่นเกินกำหนดย่อมหมดสิทธิได้รับชำระหนี้
อย่างไรก็คดีนี้ลูกหนี้เป็นผู้ยื่นคำขอฟื้นฟูกิจการ จึงต้องดำเนินการตามมาตรา 90/6
กล่าวคือต้องแนบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดที่มีอยู่
และที่อยู่โดยชัดแจ้งของเจ้าหนี้ทั้งหลายพร้อมกับคำร้องขอ เพราะหากศาลมีคำสั่งตั้งผู้ทำแผน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องโฆษณาคำสั่ง ตามมาตรา
90/20
วรรสี่และแจ้งคำสั่งตั้งผู้ทำแผนและกำหนดเวลาให้เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 90/24
วรรคสองและวรรคสาม กับมาตรา 90/26
วรรคหนึ่ง
หากกรณีเป็นดังที่นายพุธกล่าวอ้างย่อมเป็นเหตุให้นายพุธไม่อาจทราบคำสั่งตั้งผู้ทำแผนและกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ดังที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีเหตุตามกฎหมายที่จะรับคำขอรับชำระหนี้ของนายพุธไว้พิจารณาได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 4636/2546, 1683/2552)
ข้อ
10. พนักงานอัยการฟ้องนายดำเกิงต่อศาลแขวงดุสิต ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
334
(ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
และปรับเกินหกพันบาท)
กับให้นายดำเกิงคืนเงิน 900,000
บาท ที่ลักไปแก่ผู้เสียหาย
และกำหนดโทษความผิดฐานยักยอกในคดีก่อนที่ศาลรอการกำหนดโทษนายดำเกิงไว้ นายแมนผู้พิพากษาศาลแขวงดุสิตมีคำสั่งประทับฟ้อง
ต่อมานายแมนได้รับการจ่ายสำนวนจากนายมิตรผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงดุสิตให้เป็นองค์คณะรับผิดชอบคดีนี้
นายแมนพิจารณาคดีเสร็จแล้วแต่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุก่อนทำคำพิพากษา ถ้าปรากฏว่า
(ก)
นายมิตรตรวจสำนวนแล้วทำคำพิพากษาลงโทษนายดำเกิง โดยกำหนดโทษในคดีหลังฐานลักทรัพย์ จำคุก
6 เดือน กำหนดโทษคดีก่อนฐานยักยอก จำคุก
5 เดือน รวมเป็นจำคุก
11 เดือน และให้นายดำเกิงคืนเงิน 900,000บาท แก่ผู้เสียหาย
หรือ
(ข)
นายมิตรมีภารกิจสำคัญจนไม่อาจปฏิบัตราชการได้
จึงมอบหมายให้นายสมชายผู้พิพากษาอาวุโสในศาลแขวงดุสิตทำคำพิพากษาแทน นายสมชายจึงทำคำพิพากษาเหมือนข้อ (ก)
ให้วินิจฉัยว่า
คำสั่งและการพิจารณาคดีของนายแมน
กับกรณีตามข้อ (ก) และข้อ
(ข) ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม หรือไม่
ธงคำตอบ
ความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
334
มีระวางโทษไม่เกินกำหนดตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา
17 ประกอบมาตรา 25
(5) พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายดำเกิงต่อศาลแขวงดุสิตได้ และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
43
พนักงานอัยการมีอำนาจขอให้บังคับจำเลยคืนทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์ที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดแทนผู้เสียหายได้
พนักงานอัยการจึงมีคำขอให้นายดำเกิงคืนเงิน 900,000 บาท
ที่ถูกลักแก่ผู้เสียหายได้
แม้ทุนทรัพย์พิพาทเกิน 300,000
บาท
ก็ไม่เป็นการฝ่าฝืนพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
มาตรา 17 ประกอบมาตรา
25 (4) ดังนั้น
คำสั่งของนายแมนที่ให้ประทับฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ ซึ่งไม่ใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี ตามมาตรา
17 ประกอบมาตรา 24
(2) ย่อมชอบด้วยกฎหมาย
และเมื่อนายมิตรผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงดุสิตจ่ายสำนวนให้นายแมนเป็นองค์คณะรับผิดชอบคดี
นายแมนย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ตามมาตรา 17
การพิจารณาคดีของนายแมนจึงชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน
ส่วนกรณีตามข้อ (ก)
เมื่อนายแมนซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่
เนื่องจากเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุหลังเสร็จการพิจารณาคดี แต่ก่อนทำคำพิพากษา
ถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ในระหว่างการทำคำพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา
30
จำต้องแก้ปัญหาตามวิถีทางใน มาตรา 29
(3) กล่าวคือ นายมิตรผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงดุสิต หรือ
อธิบดีผู้พิพากษาภาค 1
หรือผู้ทำการแทนต้องตรวจสำนวนแล้วทำคำพิพากษาด้วยตนเอง จะมอบหมายให้ผู้พิพากษาอื่นในศาลเดียวกันทำคำพิพากษาแทนไม่ได้เพราะมาตรา 29
(3) ไม่ได้ให้อำนาจไว้ ซึ่งนายมิตรได้ปฏิบัติตามแนวทางนี้แล้ว
โดยนายมิตรตรวจสำนวนแล้วทำคำพิพากษาลงโทษความผิดฐานลักทรัพย์ในคดีหลังให้จำคุก 6
เดือน
และกำหนดโทษความผิดฐานยักยอกในคดีก่อนให้จำคุก 5
เดือน รวมเป็นจำคุก 11
เดือน
เท่ากับศาลแขวงดุสิตลงโทษจำคุกคดีละไม่เกิน 6 เดือน กับให้นายดำเกิงคืนเงิน 900,000 บาท
แก่ผู้เสียหายอันเป็นการพิพากษาคดีที่ชอบด้วยมาตรา 17
ประกอบมาตรา 25 (4)
และ (5) แล้ว
กรณีตามข้อ (ข)
การที่นายมิตรมีภารกิจสำคัญจนไม่อาจปฏิบัติราชการได้เป็นเหตุให้ทำคำพิพากษาด้วยตนเองไม่ได้
นายมิตรก็จะมอบหมายให้ผู้พิพากษาอื่นในศาลเดียวกันทำคำพิพากษาแทนไม่ได้ ตามเหตุผลดังกล่าวแล้วข้างต้น ดังนั้น
การที่นายมิตรมอบหมายให้นายสมชายผู้พิพากษาอาวุโสของศาลแขวงดุสิตทำคำพิพากษาแทน จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
แม้นายสมชายจะทำคำพิพากษาเหมือนนายมิตรตามข้อ (ก)
ทุกประการก็ตาม
ข้อ6 และข้อ 10 ผมตอบแบบนี้แต่ทำไมมันได้ แค่ 2 กับ 3 คะแนน งง ตาแตกเลย โดยเฉพาะข้อหก ให้คะแนนตัวเอง 7 ผลออกมาได้2 พระเจ้า ตกเลย อยากรู้จังว่าข้อหกอาจารย์อ่านของผมดีป่าว
ตอบลบเหตุผลที่ได้คะแนนน้อยอาจเกิดจากท่านอาจตอบถูกธงแต่เหตุผลทางหลักกฎหมายอาจยังวางหลักไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน หรือยังไม่โดนใจอาจารย์ผู้ตรวจ และท่านอาจได้ประเด็นใหญ่ แต่ประเด็นปลีกย่อยท่านอาจไม่ตอบ ตอบไม่ครบถ้วนก็โดนหักคะแนนได้อีก
ตอบลบ