วิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม , พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ,พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 สามารถค้นหาคำพิพากษาฎีกาภายใน 1o ปี หลังสุดได้แล้วครับ จะเร่งเพิ่มวิชาต่อไปให้เสร็จตามมาเรื่อยๆครับ

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา
www.lawbooks-by-mrt.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทบรรณาธิการ ภาค2 สมัย66 เล่ม15

                       คำถาม  การยื่นคำร้องขอแสดงอำนาจพิเศษในชั้นบังคับคดีว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย ผู้ถูกฟ้องขับไล่ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 จัตวา (3) จะถือว่าผู้ร้องอยู่ในฐานะเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วยหรือไม่  และหากศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดอย่างไร จะมีผลในทางกฎหมายเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่
                       คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                       คำพิพากษาฎีกาที่  4479/2556  โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 27836 และบ้านเลขที่ 199/3 หมู่ที่ 6 ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 96,000 บาท และในอัตราเดือนละ 30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยพร้อมบริวารจะออกไปจากที่ดินและบ้านโจทก์
                      จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้พิพากษายกฟ้อง
                      ก่อนสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยาน แล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
                     โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
                     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีหมายเลขดำที่ 936/2549 หมายเลขแดงที่ 1272/2549 ของศาลชั้นต้นหรือไม่
                     ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 บัญญัติว่า เมื่อศาลใดมีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดีแล้วห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขายแล้วนั้น....... โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยคดีนี้มิได้เป็นคู่ความรายเดียวกันกับคดีหมายเลขดำที่ 936/2549 หมายเลขแดงที่ 1272/2549 ของศาลชั้นต้น โดยคดีดังกล่าวโจทก์ฟ้องนางฐิตวันต์ ลักษณา ฐานผิดสัญญา กรณีขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้วไม่ยอมย้ายออกไป แต่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้ในฐานะเป็นผู้ละเมิดสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยเข้าไปครองครอบโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเรียกค่าเสียหาร กรณีจึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย จำเลยแก้อุทธรณ์ว่า ในคดีที่โจทก์ฟ้องนางฐิตวันต์ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่นางฐิตวันต์และบริวารให้ออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น หลังศาลชั้นต้นพิพากษา เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศขับไล่นางฐิตวันต์และบริวารให้ออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จำเลยไม่อยู่ในฐานบริวารของนางฐิตวันต์ แต่อยู่ในฐานะบริวารของนาวาอากาศโทนิวัตร สวัสดิโชติ และนางสมสาย สวัสดิโชติ ซึ่งเป็นตาและยายของจำเลยและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้ฟ้องเรียที่ดินคืนจากนางฐิตวันต์ด้วยเหตุประพฤติเนรคุณ จำเลยจึงร้องสอดเข้าไปในฐานะผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องขอแสดงอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (3) โดยอาศัยอำนาจของตาและยายที่มีสิทธิจะอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทได้ ซึ่งแม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกคำร้อง แต่จำเลยก็ได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นและคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการดเนินกระบวนพิจารณาของโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ จึงชอบแล้วนั้น เห็นว่า ในคดีหมายเลขดำที่ 936/2549 หมายเลขแดงที่ 1272/2549 จำเลยคดีนี้ได้ยื่นคำร้องขอแสดงอำนาจพิเศษในชั้นบังคับคดีว่าตนเองไม่ใช่บริวารของนางฐิตวันต์ จำเลยจึงอยู่ในฐานะเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วย เมื่อศาลชั้นต้น.........................
                      คำถาม   การยื่นคำร้องขอกันส่วนจะต้องยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์สินออกขายทอดตลาดหรือไม่ 
                     คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                     คำพิพากษาฎีกาที่  6244/2556  ผู้ร้องบรรยายคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองที่ดินที่โจทก์นำยึดซึ่งจำเลยที่ 1 และ ก. เจ้าของรวมนำมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้กู้ยืมของ น. เมื่อ น. ไม่ชำระหนี้ ผู้ร้องบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยที่ 1 และ ป. ทายาทโดยธรรมของ ก. แล้ว ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาชำระหนี้แก่ผู้ร้อง เนื้อหาตามคำร้องขอจึงเป็นเรื่องที่ผู้ร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ส่วนที่เป็นของ ก. ออกจากเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนองใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 เพื่อขอรับชำระหนี้จำนอง ซึ่งสิทธิของผู้ร้องเช่นว่านี้ ถือได้ว่าเป็นบุริมสิทธิอื่น ๆ ที่อาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์นั้นได้ตามมาตรา 287 ไม่อยู่ในบังคับกำหนดเวลาตามมาตรา 289 วรรคสอง ที่ผู้ร้องจะต้องยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์จำนองนั้นออกขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินซึ่งจำนองก่อนเจ้าหนี้รายอื่นรวมทั้งโจทก์ด้วย
                      คำถาม   ผู้เสียหายที่แท้จริง (ผู้ตาย) ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย บิดามารดาของผู้ตายจะมีอำนาจยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือไม่
                    คำตอบ   มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้                     
                    คำพิพากษาฎีกาที่  2367/2556  โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 จำเลยให้การปฏิเสธ
                    ระหว่างพิจารณา นาย ภ. และนาง ว. บิดาและมารดาของผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะ ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายในการจัดการศพผู้ตาย พร้อมดอกเบี้ย
                     ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า นาย ป. ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุทำร้ายจำเลยก่อน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำเพราะถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกรทำความผิดโดยบันดาลโทสะ และพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 72 โจทก์ร่วมทั้งสองไม่อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกรทำความผิดโดยบันดาลโทสะหรือไม่ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติว่าผู้ตายเป็นก่อนให้จำเลยกระทำความผิดดังนี้ ผู้ตายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) โจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งเป็นบิดาและมารดาของผู้ตาย ย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณามาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 และยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 กับไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นาย ภ. และนาง ว. เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ และศาลล่างทั้งสองพิพากษา
ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
              พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนาย ภ. และนาง ว. และคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของนาย ภ. และนาง ว. ยกฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสอง
                       
                     คำถาม   ลูกหนี้นำโฉนดที่ดินไปมอบให้แก่เจ้าหนี้ยึดถือไว้เพื่อประกันหนี้เงินกู้แล้วไปแจ้งแก่พนักงานที่ดินว่าโฉนดที่ดินสูญหายไป เพื่อขอออกใบแทนโฉนดที่ดินแล้วจดทะเบียนโอนขายที่ดินแก่บุคคลอื่น  ดังนี้  เจ้าหนี้จะเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 137  หรือไม่
                     คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
                     คำพิพากษาฎีกาที่  8929/2556   โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแจ้งความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 58366 ต้นฉบับสูญหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงขอใบแทนโฉนดที่ดินอันเป็นความเท็จ จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่า ความจริงจำเลยนำโฉนดที่ดินไปมอบให้แก่โจทก์ยึดถือไว้เพื่อประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้เงินโจทก์และจำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้คืน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
                       ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า   ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์โดยมอบโฉนกที่ดินให้แก่โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน  วันที่ 11 กันยายน 2550 จำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมว่าโฉนดที่ดินสูญหายไป โดยไม่ทราบสาเหตุและมีความประสงค์ขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน  เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการออกใบแทนโฉนดที่ดินให้วันที่ 21 พฤศจิกายน 2550 จากนั้นวันที่ 25 สิงหาคม 2551 จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่บุคคลอื่น
                      มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มิใช่ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่านิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์มีฐานะเป็นเพียงเจ้าหนี้สามัญของจำเลย การที่จำเลยมอบโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์เพื่อยึดถือไว้เป็นประกันการกู้ยืมเงิน แม้ทำให้โจทก์มีสิทธิในอันที่จะยึดโฉนดที่ดินไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้จากจำเลยสิ้นเชิง แต่มิได้ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะฟ้องบังคับเอาแก่ที่ดินหรือบังคับอย่างใด ๆ ต่อโฉนดที่ดินที่จำเลยวางเป็นประกันได้เลยไม่ว่าในทางใด  โจทก์คงมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยได้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินอย่างเจ้าหนี้สามัญเท่านั้น  ดังนี้  การที่จำเลยไปแจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมว่าโฉนดที่ดินสูญหาย ไปเพื่อขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จหรือไม่ ย่อมมิได้กระทบต่อสิทธิอย่างใด ๆ ของโจทก์ในอันที่จะบังคับชำระหนี้เอาแก่จำเลยตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน สิทธิของโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้สามัญมีอยู่อย่างไรคงมีอยู่เพียงนั้น มิได้ลดน้อยถอยลงไป ทั้งในการแจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ดินโดยเฉพาะไม่เกี่ยวกับโจทก์ เพราะจำเลยมิได้กล่าวพาดพิงเจาะจงถึงโจทก์ในอันจะถือว่าทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137    

                                                                                                         นายประเสริฐ  เสียงสุทธิวงศ์

                                                                                                                       บรรณาธิการ

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ10 ตุลาคม 2559 เวลา 15:42

    มีปัญหาว่า นางมรกต ซื้อขายที่ดินที่เป็นโฉนดพร้อมบ้านจากนายกันต์ แต่นายกันต์ ได้ซื้อที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวจากนายศิริ แต่นายศิริ ยังอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านหลังนี้พร้อมบริวารไม่ยอมออก นางมรกต จะฟ้องขับไล่นายศิริและบริวารออกจากที่ดินและบ้านนี้ได้หรือไม่ (ปัจจุบันโฉนดพร้อมที่ดินได้นำไปจำนองธนาคารออมสิน)..........

    ตอบลบ