วิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม , พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ,พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 สามารถค้นหาคำพิพากษาฎีกาภายใน 1o ปี หลังสุดได้แล้วครับ จะเร่งเพิ่มวิชาต่อไปให้เสร็จตามมาเรื่อยๆครับ

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา
www.lawbooks-by-mrt.blogspot.com

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข้อสังเกตบางประการในการดำเนินคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา

ข้อสังเกตบางประการในการดำเนินคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา 
                                      ศาสตราจารย์  (พิเศษ)  จุลสิงห์  วสันตสิงห์*
                จากการที่ได้ปฏิบัติหน้าที่พนักงานอัยการมากกว่า  ๓๐  ปี  และเป็นอาจารย์ผู้บรรยาย  กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตสภา  และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ทำให้ข้าพเจ้าได้พบกับปัญหาสำคัญๆ  ในกระบวนการของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นอันมาก  หนึ่งในประเด็นสำคัญทั้งหลายทั้งปวงนั้น  มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญเป็นพิเศษ  ด้วยอาจเป็นเพราะประเด็นปัญหานี้  มีความซับซ้อนกว่าปัญหาทั่วๆ  ไป  โดยอาจจะต้องนำความรู้ในกฎหมายพื้นฐานอื่นๆ  มาประกอบในการพิจารณาวินิจฉัย  เช่น  กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  หรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ยังมีผลทำให้มีความซับซ้อนยุ่งยากอยู่พอสมควร  เมื่อมีโอกาสข้าพเจ้าก็นำประเด็นปัญหาที่น่าสนใจเหล่านี้ไปออกข้อสอบทดสอบความรู้ชั้นเนติบัณฑิตอยู่หลายครั้งด้วยกัน  ครั้งนี้  จึงจะขอกล่าวถึงปัญหาสำคัญที่น่าสนใจในการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาเกี่ยวกับกรณีการถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษา  คดีอาญาแก่การพิพากษาคดีในส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๔๖  และการเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา  ๔๓  ในการนำเสนอนี้  จะยกคำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจประกอบด้วย
๑.      การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง  ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
การที่ศาลจะมีคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่  จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงหากข้อเท็จจริงนั้น  ได้รับการวินิจฉัยในส่วนคดีอาญาแล้ว  คดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงนั้นเป็นที่ยุติ  คู่ความจะโต้แย้งเป็นอย่างอื่นไม่ได้  อย่างไรก็ดี  หลักการข้างต้นจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขทั้ง    ประการกล่าวคือ
๑.๑  ต้องเป็นคดีแพ่งที่มีผลฟ้องร้องมาจากการกระทำผิดทางอาญา  หากเป็นคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องโดยไม่ได้อาศัยข้อมูลเหตุจากการกระทำความผิดอาญาแล้ว  ถ้าพิพากษาคดีแพ่งก็ไม่จำต้องถือตามคำพิพากษาในคดีอาญา  โดยขอยกตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาค่อนข้างใหม่ๆ  ที่น่าสนใจไว้พอสังเขป
คำพิพากษาฎีกาที่  ๒๒๙๘/๒๕๕๑โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้  ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องจำเลยที่    โดยวินิจฉัยว่า  พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่าจำเลยที่    กระทำโดยรู้หรือสมคบกับจำเลยที่    ในการกระทำความผิดและคดีส่วนอาญาของจำเลยที่    ถึงที่สุดแล้ว  ในการพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่ง  ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคดีอาญาว่าจำเลยที่    ไม่รู้ว่าจำเลยที่    เป็นหนี้โจทก์และไม่รู้ว่าการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบนั้น  เห็นว่า  คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๒๓๗  อันเป็นสิทธิเรียกร้องที่ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้  จึงไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จะต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญา  ศาลอุทธรณ์ภาค    พิพากษาชอบแล้ว  ฎีกาของจำเลยที่    ฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาฎีกาที่  ๓๔๙๗/๒๕๕๑ในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกว่าร่วมกันกระทำความผิดฐานยักยอก  ศาลแขวงพระโขนงพิพากษายกฟ้องโดยให้เหตุผลว่าพฤติการณ์มีเหตุสงสัยว่าจำเลยรับจำนองแทนโจทก์หรือไม่  ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลย  ศาลมิได้ยกฟ้องด้วยเหตุว่าจำเลยมิได้รับจำนองแทนโจทก์  และคดีนี้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยคืนเงินค่าไถ่ถอนจำนองแก่โจทก์  อันเป็นสิทธิเรียกร้องที่ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาในความผิดฐานยักยอก  จึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจะนำ  ป.วิ.อ  มาตรา  ๔๖  มาใช้บังคับไม่ได้
๑.๒  คำพิพากษาคดีในส่วนอาญาถึงที่สุดแล้ว  คำพิพากษาคดีอาญาที่จะมีผลผูกพันให้คดีส่วนแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงตามนั้น  จะต้องปรากฎคำพิพากษาในคดีนั้นได้ถึงที่สุดแล้ว  เหตุด้วยหากคดียังไม่ถึงที่สุด  การรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาของศาลชั้นต้นอาจถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขโดยศาลสั่งได้  โดยขอยกตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาค่อนข้างใหม่ๆ  ที่น่าสนใจไว้พอสังเขป
คำพิพากษาฎีกาที่  ๒๕๑/๒๕๔๘ในคดีอาญาที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาว่าร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม  ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่    ส่วนจำเลยที่    คดีไม่มีมูลจึงประทับฟ้องจำเลยที่    และยกฟ้องจำเลยที่    คำสั่งของศาลชั้นต้นให้ประทับฟ้องจำเลยที่    มีผลให้คดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลเท่านั้น  ยังไม่ได้ชี้ว่าหนังสือมอบอำนาจปลอมหรือไม่  และคดีสำหรับจำเลยที่    ยังไม่ถึงที่สุด  ทั้งไม่อาจนำมาผูกพันจำเลยที่    ซึ่งศาลพิพากษายกฟ้อง  เนื่องจากฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่    ได้ร่วมกระทำผิด  จึงมิใช่ข้อเท็จจริงที่จะฟังในคดีแพ่งว่าหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารปลอม
คำพิพากษาฎีกาที่  ๒๘๕๓/๒๕๕๐การที่จำเลยที่    ยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับและชำระค่าปรับแล้ว  มีผลเพียงทำให้คดีอาญาดังกล่าวเลิกกันตาม  ป.วิ.อ  มาตรา  ๓๗  เท่านั้น  การเปรียบเทียบปรับของพนักงานสอบสวนดังกล่าวไม่ใช่คำพิพากษาคดีส่วนอาญากรณีจึงไม่ต้องด้วย  ป.วิ.อ  มาตรา  ๔๖  ที่คดีในส่วนแพ่งจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค    ถือเอาข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่จำเลยที่    ยอมรับต่อพนักงานสอบสวนว่า  จำเลยที่    ขับรถยนต์โดยประมาทมาชี้ขาดตัดสินคดีนี้เป็นการไม่ชอบ
๑.๓  ต้องเป็นประเด็นเดียวกันกับคดีส่วนอาญา  และคำพิพากษาในคดีอาญาได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวไว้โดยชัดเจน  ข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งและคดีส่วนอาญาต้องเป็นประเด็นเดียวกัน  แต่ถ้าประเด็นพิจารณาในทางแพ่งไม่ใช่ประเด็นโดยตรงที่ศาลวินิจฉัยในทางอาญาแล้ว  ศาลย่อมพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่ตามประเด็นในคดีแพ่งได้  นอกจากนี้คำพิพากษาส่วนอาญาจะต้องวินิจฉัยในประเด็นนั้นไว้โดยชัดแจ้งโดยขอยกตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาค่อนข้างใหม่ๆ  ที่น่าสนใจไว้พอสังเขป
คำพิพากษาฎีกาที่  ๕๓๙๑/๒๕๕๑ข้อเท็จจริงที่ฟังยุติในคดีส่วนอาญามีแต่เพียงว่าโจทก์และจำเลยต่างกระทำโดยประมาท  แต่ผู้ใดประมาทมากกว่ากันไม่ปรากฏ  ดังนั้นในการดำเนินคดีแพ่งทั้งโจทก์และจำเลยย่อมสามารถนำสืบให้เห็นได้ว่าใครประมาทมากกว่ากัน  และควรจะได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่เพียงใด
คำพิพากษฎีกาที่  ๙๓๔๐/๒๕๕๑  คดีนี้กับคดีอาญาซึ่งโจทก์ในคดีนี้เป็นโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าวมีประเด็นเป็นเรื่องเดียวกัน  คือจำเลยได้เบียดบังยักยอกทรัพย์ของโจทก์หรือไม่และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว  กรณีจึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา  ๔๖  ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง  ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีอาญา  เมื่อคดีส่วนอาญาศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า  จำเลยไม่ได้เบียดบังยักยอกทรัพย์  คดีนี้จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามและตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา  ๑๐๔  บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบและตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา  ๑๐๔  บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติหรือไม่  แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น  ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้มีเพียงพอที่จะวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปแล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย  จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
๑.๔  เป็นคู่ความเดียวกันกับในคดีส่วนอาญา  เนื่องจากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  ๑๔๕  วรรคหนึ่งประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรามาตรา  ๑๕  บัญญัติว่าคำพิพากษาศาลมีผูกพันเฉพาะบุคคล  ซึ่งเป็นคู่ความในคดีเท่านั้น  แต่ไม่มีผลผูกพันเฉพาะบุคคลภายนอก  ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยวางหลักเกณฑ์เพิ่มเติมในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๗๖  ว่าคู่ความทั้งในคดีอาญา  และคดีส่วนแพ่งต้องเป็นคู่ความเดียวกัน  ซึ่งในกรณีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์แม้ผู้เสียหายไม่เข้าเป็นโจทก์ร่วม  ก็ถือว่าพนักงานอัยการฟ้องแทนผู้เสียหายยังผลให้คำพิพากษาในคดีส่วนอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์  จึงผูกพันคดีส่วนแพ่งของผู้เสียหาย  โดยขอยกตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาใหม่    ที่น่าสนใจพอสังเขป
คำพิพากษาฎึกาที่  ๒๖๙/๒๕๔๗คำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งยกฟ้องจำเลยที่    ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย  ได้รับอันตรายสาหัส  และถึงแก่ความตาย  มีประเด็นตรงกับประเด็นในคดีนี้ที่ว่าจำเลยที่    ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังตามที่โจทก์ที่    ฟ้องหรือไม่  เมื่อโจทก์ที่ ๑  และจำเลยที่    เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว  จึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว  จึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว  ดังนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง  ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงต้องฟังว่าจำเลยที่    มิได้ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้รับอันตรายสาหัสและได้รับอันตรายแก่กายตามฟ้องเมื่อจำเลยที่    มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่    จำเลยที่    ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่    จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่โจทก์ที่    ฟ้องด้วย
คำพิพากษาฎีกาที่  ๕๕๙๐/๒๕๔๘แม้ว่าในการพิพากษาคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา  ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  ๔๖  ก็ตาม  แต่เมื่อจำเลยที่    ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวด้วย  ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลชั้นต้นที่ฟังว่าจำเลยที่    ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  จึงมีผลผูกพันเฉพาะจำเลยที่    ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวด้วย
เมื่อได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์สำคัญพร้อมคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจข้างต้นแล้วข้าพเจ้าอยากที่จะนำข้อสอบความรู้ชั้นเนติบัณฑิตภาคสองสมัยที่  ๖๐  ปีการศึกษา  ๒๕๕๐  ข้อ    มากล่าวถึงเนื่องจากเป็นการนำเอาประเด็นการถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีอาญาแก่การพิพากษาคดีในส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๔๖  มาผูกกันไว้อย่างน่าสนใจ  โดยจะกล่าวถึงแนวคำตอบไว้  พร้อมกัน  ดังนี้
ข้อ    พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรีเป็นโจทก์ฟ้องนายวิหารว่า  ขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนรถยนต์ที่นายสมบัติขับมาได้รับความเสียหาย  และเป็นเหตุให้นายสมบัติขับมาได้รับความเสียหาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๓๐๐  หลังเกิดเหตุแล้ว    ปี  คดีอาญาถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาว่านายวิหารกระทำผิดตามฟ้องลงโทษจำคุก    ปี  โทษจำคุกรอการลงโทษไว้    ปีภายหลังจากที่คดีอาญาถึงที่สุดแล้วหนึ่งเดือนนายสมบัติเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวิหารเป็นจำเลยที่    นายสมชายซึ่งเป็นนายจ้างของนายวิหารเป็นจำเลยที่    เป็นคดีแพ่ง  ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่งแก่โจทก์  ทั้งนายวิหารและนายสมชายต่างให้การต่อสู้ว่า  นายสมบัติไม่ได้ขอเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการจึงไม่ใช่คู่ความในคดีอาญาเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากความประมาทของนายวิหารและคดีขาดอายุความแล้ว
ให้วินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของนายวิหารและนายสมชายฟังขึ้นหรือไม่
จากคำถามข้างต้น  ประเด็นสำคัญที่สุดคำถาม  คือ  คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาหรือไม่  การที่นายสมบัติมิได้เป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการทำให้นายสมบัติมิได้เป็นคู่ความในคดีอาญาและมีผลให้การพิพากษาคดีแพ่งมิต้องถือตามคำพิพากษาในคดีอาญา  หรือไม่ในประเด็นนี้  ศาลในคดีแพ่งและคดีอาญาจะต้องวินิจฉัยเป็นประเด็นที่มาจากมูลกรณีเดียวกัน  คือนายวิหารขับรถโดยประมาทหรือไม่  ดังนั้น  คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา  เมื่อคดีส่วนอาญาถึงที่สุดโดยศาลฟังข้อเท็จจริงว่านายวิหารเป็นฝ่ายประมาท  ศาลในคดีแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่านายวิหารเป็นฝ่ายประมาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๔๖  ซึ่งคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา  ๑๔๕  ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๑๕  อย่างไรก็ดี  แม้ว่านายสมบัติโจทก์ในคดีแพ่งจะไม่ได้ยื่นคำร้องขอเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีอาญาแต่นายสมบัติเป็นผู้เสียหายในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๓๐๐  จึงถือว่าพนักงานอัยการอยู่ในฐานะฟ้องคดีแทนนายสมบัติและนายวิหารย่อมผูกพันตามคำพิพากษาในคดีอาญา  ดังนั้น  นายวิหารจึงไม่อาจต่อสู้ว่าตนมิได้เป็นฝ่ายประมาท  ข้อต่อสู้ของนายวิหารฟังไม่ขึ้น
ประเด็นต่อมา  คือ  การที่นายสมชายเป็นนายจ้างของนายบริหาร  จึงไม่เป็นคู่ความคดีอาญา  คำพิพากษาผูกพันนายสมชายหรือไม่  ในประเด็นนี้นายสมชายซึ่งเป็นนายจ้างของนายวิหารไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญา  ดังนั้นข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่ศาลฟังว่านายวิหารเป็นฝ่ายประมาทจึงไม่ผูกพันนายสมชาย  นายสมชายจึงชอบที่จะต่อสู้ได้ว่า  นายวิหารมิได้เป็นฝ่ายประมาท  หรือนายสมบัติมีส่วนประมาทร่วมกับนายวิหาร  ข้อต่อสู้ของนายสมชายในข้อนี้  จึงฟังขึ้น
ประเด็นถัดมา  คือ  การที่ฟ้องนายวิหารเป็นคดีแพ่งหลังจากเกิดเหตุกว่า    ปี  คดีขาดอายุความแล้วหรือไม่  ในประเด็นนี้  ค่อนข้างจะซับซ้อนพอสมควร  ในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา  เมื่อคดีอาญามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษนายวิหารแล้วสิทธิของผู้เสียหายที่จะเรียกร้องทางแพ่งมีอายุความ  ๑๐  ปี  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา  ๑๙๓/๓๒  และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๕๑  วรรคสามแต่การนับอายุความทางอาญาที่ยาวกว่าดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา  ๔๔๘  วรรคสอง  กำหนดไว้โดยอาศัยสิทธิในเรื่องอายุความที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๕๑  วรรคสาม  นั้น  มีได้เฉพาะในกรณีที่เรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดจากผู้กระทำผิดทางอาญา  ซึ่งศาลพิพากษาลงโทษจนคดีถึงที่สุดไปแล้วก่อนที่ได้ยื่นฟ้องคดีแพ่งเท่านั้นมิได้หมายความถึงการเรียกร้องจากผู้อื่นซึ่งต้อนรับผิดในผลแห่งละเมิด  แต่มิได้เป็นผู้กระทำผิดหรือร่วมกระทำผิดทางอาญาด้วย  ดังนั้น  เฉพาะนายวิหารเท่านั้นที่เป็นผู้กระทำผิดทางอาญาที่ต้องใช้อายุความ  ๑๐  ปี  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๕๑  วรรคสาม  ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๑๙๓/๓๒  เมื่อนายสมบัติมาฟ้องคดีแพ่งในคดีนี้ก่อนครบกำหนด  ๑๐  ปี  คดีจึงยังไม่ขาดอายุความข้อต่อสู้ของนายวิหารในข้อนี้  จึงฟังไม่ขึ้น
ประเด็นสุดท้าย  คือ  การฟ้องนายสมชาย  นายจ้างเป็นคดีแพ่ง  หลังจากเกิดเหตุกว่า    ปี  คดีขาดอายุความแล้วหรือไม่  ในประเด็นนี้จะไม่ซับซ้อนเท่าประเด็นก่อนหน้านี้  ส่วนนายสมชายนายจ้างที่มิได้กระทำผิดทางอาญาด้วย  ต้องใช้อายุควาทางแพ่งในเรื่องละเมิดธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๔๔๘  วรรคแรก  คือ    ปี  เมื่อนายสมบัติฟ้องคดีแพ่ง ภายหลังเกิดเหตุแล้วเกินกว่า    ปี  คดีจึงขาดอายุความ  ข้อต่อสู้ของนายสมชายในข้อนี้จึงฟังขึ้น
๒.      การเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนแทนผู้เสียหาย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๔๓  ให้อำนาจพนักงานอัยการเรียกให้จำเลย
คืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไป  ยังผลให้มีข้อสังเกตประการสำคัญที่ควรศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างท่องแท้
                ๒.๑  ต้องเป็นกรณีที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยในความผิด    ลักษณะดังที่กำหนดในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๔๓  คือ  ความผิดฐานลักทรัพย์  ฐานวิ่งราว  ฐานชิงทรัพย์  ฐานปล้นทรัพย์  ฐานโจรสลัด  ฐานกรรโชก  ฐานฉ้อโกง  ฐานยักยอก  หรือฐานรับของโจร  แล้วแต่กรณี
                โดยความผิดฐานยักยอกนั้นรวมถึงความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  ๑๔๗  ด้วย  (คำพิพากษาฎีกาที่  ๖๓๑/๒๕๑๑)  หากเป็นความผิดอื่น    นอกจากนี้  และความผิดนั้นๆ  ไม่มีกฎหมายกำหนดเป็นพิเศษให้อำนาจพนักงานอัยการแล้วพนักงานอัยการจะเรียกร้องให้คืนทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์ของผู้เสียหายที่สูญเสียไปได้ไม่  โดยมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่ากล่าวถึงในเบื้องต้นคือ  กรณีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๓๕๐  ไม่ใช่ความผิดใดใน    ลักษณะที่พนักงานอัยการจะเรียกร้องแทน  ผู้เสียหายได้  (คำพิพากษาฎีกาที่  ๓๙๒/๒๕๐๖)  และความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน  พ.ศ.  ๒๕๒๘  มาตรา  ๙๑  ตรีที่แม้จะมีคำว่า  หลอกลวงผู้อื่น  แต่ก็มิใช่ความผิดฐานฉ้อโกงตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา  ๔๓  และพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน  พ.ศ.  ๒๕๒๘  ก็มิได้บัญญัติให้พนักงานอัยการโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหายโจทก์จึงไม่อาจขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายได้ (คำพิพากษาฎีกาที่  ๑๓๔๗/๒๕๔๕)  นอกจากนี้  ยังมีคำพิพากษาเรื่องหนึ่งที่มีความน่าสนใจที่อยากจะกล่าวถึงโดยละเอียดดังนี้
                คำพิพากษาฎีกาที่  ๑๔๔๕/๒๕๔๙โจทก์ฟ้องขอโทษจำเลยตาม  ป.อมาตรา  ๓๔๑  พ.ร.บ.  จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน  พ.ศ.  ๒๕๒๘  มาตรา  ๙๑  ตรี  และให้จำเลยคืนเงิน  ๒๒๐,๐๐๐  บาท  แก่ผู้เสียหาย  การกระทำของจำเลยนอกจากจะเป็นความผิดฐานหลอกลวงคนหางานว่าสามารถหางานในต่างประเทศตาม  พ.ร.บ.  จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน  พ.ศ.๒๕๒๘ มาตรา  ๙๑  ตรี  แล้ว  ยังเป็นความผิดฐานฉ้อโกง  ตาม  ป.อ.  มาตรา  ๔๓  บัญญัติให้อำนาจโจทก์ที่จะขอศาลให้สั่งจำเลยคืนเงินที่ฉ้อโกงไปให้แก่ผู้เสียหายได้  ซึ่งศาลล่างทั้งสองก็พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม  ป.อ.  มาตรา  ๓๔๑  ด้วย  ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน  ๒๐๐,๐๐๐  บาทที่ฉ้อโกงไปให้แก่ผู้เสียหายตามที่โจทก์ขอมาได้แม้จะมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตราดังกล่าวด้วยก็ตาม
                ผู้เสียหายที่    และที่    ได้ถอนคำร้องทุกข์ของตนเฉพาะในส่วนความผิดตาม  ป.อ.  มาตรา  ๓๔๑  ซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัว  โดยอ้างว่าได้รับชดใช้เงินจากจำเลยจนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งแก่จำเลยอีกต่อไปดังนั้นสิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานดังกล่าวเฉพาะในส่วนของผู้เสียหายที่    และที่    จึงระงับไปตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  ๓๙  ()  และย่อมทำให้คำขอในส่วนแพ่งของโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายที่    และ  ที่    คนละ  ๖๕,๐๐๐  บาท  รวมเป็นเงิน  ๑๓๐,๐๐๐  บาทตกไปด้วย  โจทก์จึงไม่อาจขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายที่    และที่    ได้อีกโดยคงขอให้บังคับได้เฉพาะส่วนของผู้เสียหายที่    เป็นเงิน  ๗๐,๐๐๐  บาท เท่านั้น
                ตามคำพิพากษาฎีกาข้างต้นนี้  แสดงว่าหากสิทธิการนำคดีอาญาในความผิดฐานฉ้อโกงมาฟ้องระงับไปแล้ว  คำขอส่วนแพ่งก็ไม่อาจบังคับได้ด้วย
                ๒.๒  ต้องเป็นการเรียกทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดเท่านั้น  โดยขอยกคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจไว้พอสังเขป
                ๒.๒.๑  กรณีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่เห็นว่าเป็นทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปจากการกระทำความผิด
                คำพิพากษาฎีกาที่  ๗๗๒/๒๕๒๐  (ประชุมใหญ่)สลากกินแบ่งของผู้เสียหายที่จำเลยลักไป  เป็นสลากกินแบ่งที่ถูกรางวัลแล้วจึงเป็นทรัพย์สินที่มีราคาเท่ากับเงินรางวัลที่จะได้รับ  ซึ่งเป็นราคาทรัพย์ที่จำเลยลักไปโดยแท้จริง  เมื่อจำเลยนำไปรับเงิน  ผู้เสียหายย่อมหมดโอกาสที่จะได้รับเงินรางวัล  เท่ากับว่าต้องสูญเสียเงินจำนวนนั้นไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยโดยตรงพนักงานอัยการจึงมีสิทธิขอให้จำเลยคืนเงินรางวัลแก่ผู้เสียหายได้
                คำพิพากษาฎีกาที่  ๕๔๐๑/๒๕๔๒การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจำเลยทั้งสองสามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดไปทำงานในประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้  เป็นงานที่มีรายได้  เมื่อผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดเดินทางไปถึงแล้วสามารถทำงานได้ทันที  โดยจำเลยทั้งสองปกปิดข้อความจริงจำเลยทั้งสองไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหาคนงานไปทำงานในประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้จากนายทะเบียนจัดหางานกลาง  จากการหลอกลวงดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดหลงเชื่อและมอบเงินจำนวนต่างๆ  ให้แก่จำเลยทั้งสอง  ดังนั้น  การกระทำของ  จำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง  มิใช่ผิดเฉพาะสัญญาทางแพ่งแต่อย่างใด  ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดยอมจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบินให้แก่จำเลยทั้งสองเนื่องจากประสงค์จะเดินทางไปทำงานในประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ตามที่จำเลยทั้งสองรับรอง  หากผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดทราบความจริงว่าถูกจำเลยทั้งสองหลอกลวงแล้ว  ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดคงไม่เดินทางไปยังประเทศดังกล่าวและไม่จ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบินให้แก่จำเลยทั้งสองเป็นแน่  แม้ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดได้ใช้ตั๋วเครื่องบินดังกล่าวเดินทางไปและกลับระหว่างประเทศไทยกับประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้  แต่การเดินทางของผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดดังกล่าวมิได้เกิดจากความสมัครใจของตนที่จะเดินทางไปหางานทำด้วยตนเอง  แต่เกิดจากการที่ถูกจำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงฉ้อโกงดังนั้น  เงินค่าตั๋วเครื่องบินของผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดที่ต้องสูญเสียไปจึงเป็นเงินที่เกิดจากการหลอกลวงของจำเลยทั้งสอง  ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดย่อมมีสิทธิที่จะเรียกค่าตั๋วเครื่องบินดังกล่าวคืนจากจำเลยทั้งสอง  ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดเดินทางไปประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้เนื่องจากหลงเชื่อตามที่จำเลยทั้งสองหลอกลวงเป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก  นอกจากนี้ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดต้องเสียเวลาในการทำมาหากินทั้งผู้เสียหายบางคนยังถูกจับและถูกขังอยู่ในประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้  ทำให้ต้องสูญเสียอิสรภาพ  จำเลยที่    เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชนแต่จำเลยที่    กลับมากระทำความผิดเสียเองโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ในการหลอกลวงเพื่อให้ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดหลงเชื่อ  หลังเกิดเหตุจำเลยทั้งสองก็มิได้บรรเทาผลร้าย  ชดใช้หรือเสนอที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายทั้งสิบเอ็ดแต่อย่างใดกรณีไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสอง
                คำพิพากษาฎีกาที่  ๖๖๒๔/๒๕๔๕  แม้ขณะจำเลยที่    กระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหาย  สร้อยคอพร้อมพระดังกล่าวจะอยู่ที่มือจำเลยที่    แต่ก็เป็นเพียงการกระทำที่มุ่งหมายจะให้สร้อยคอพร้อมพระขาดหลุดจากคผู้เสียหาย  เมื่อปรากฏว่าสร้อยคอทองคำดังกล่าวตกอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุส่วนพระเลี่ยมทองคำนั้นหาไม่พบ  ทั้งขณะเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นตัวจำเลยก็ไม่พบพระเลี่ยมทองคำดังกล่าวแสดงว่าหลังจากกระชากแล้วสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำหลุดจากมือจำเลยที่    ตกลงพื้น  จำเลยที่    ยังไม่ทันเข้ายึดถือครอบครองสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำดังกล่าว  เห็นได้ว่าจำเลยที่    ได้ลงมือกระทำความผิดแล้วแต่ยังไม่อาจยึดถือครอบครองสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำนั้นได้  การกระทำของจำเลยที่    จึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์  แม้จำเลยที่    จะไม่สามารถเอาพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายไปได้แต่ผลจากการกระทำความผิดของจำเลยที่    ทำให้ผู้เสียหายสูญเสียพระเลี่ยมทองคำไป  จำเลยที่    จึงต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคาพระเลี่ยมทองคำแก่ผู้เสียหาย  สำหรับรถจักรยานยนต์ของกลาง  เมื่อปรากฏว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถยนต์อยู่จำเลยที่    ขับรถจักรยานยนต์ของกลางเข้าประกอบแล้วจำเลยที่    ซึ่งนั่งซ้อนท้ายกระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหาย  พฤติการณ์เห็นได้ว่าเป็นการใช้รถจักรยานยนต์ของกลางในการกระทำความผิดโดยตรง  จึงต้องริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
                คำพิพากษาฎีกาที่  ๕๒/๒๕๕๓โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้เบิกถอนเงินสดจำนวน  ๑๐๐,๐๐๐  บาทของผู้เสียหายที่    ไป  อันเป็นความผิดตาม  ป.อ.  มาตรา  ๒๖๙/๕  และมาตรา  ๒๖๙/๗  เมื่อตามคำฟ้องโจทก์ได้กล่าวบรรยายว่า  จำเลยได้ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคาร  ซ.  ซึ่งได้ออกให้แก่ผู้เสียหายที่    อันเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่จำเลยได้ลักไปเพื่อใช้ประโยชน์ในการเบิกถอนเงินสดถอนเงินสดจำนวน  ๑๐๐,๐๐๐  บาท  ไปจากวงเงินเครดิตของผู้เสียหายที่    โดยมิชอบ  ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายและธนาคาร  ช.  และยังมีคำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวด้วย  ดังนั้น  ย่อมแปลคำฟ้องของโจทก์ได้ว่าโจทก์มุ่งประสงค์ที่จะให้ลงโทษจำเลยฐานลักเงินของผู้เสียหายที่    อยู่ด้วย  เพียงแต่วิธีการลักเงินดังกล่าวก็โดยการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์เบิกถอนเงินสดผ่านเครื่องฝาก  -  ถอนเงินอัตโนมัตินั่นเองจึงเป็นความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์และความผิดฐานลักทรัพย์ด้วยแล้ว  ซึ่งตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  ๔๓  บัญญัติให้พนักงานอัยการมีอำนาจขอให้เรียกทรัพย์สินหรือใช้ราคาแทนผู้เสียหายที่    ขอให้เรียกทรัพย์สินหรือใช้ราคาแทนผู้เสียหายที่    โจทก์จึงมีอำนาจขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แทนผู้เสียหายที่    ได้
                ๒.๒.๒.  กรณีที่แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่เห็นว่าไม่ใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไป  ได้แก่  กรณีของดอกเบี้ย  พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องเรียกดอกเบี้ยแทนผู้เสียหายได้เพราะดอกเบี้ยไม่ใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิด  (คำพิพากษาฎีกาที่  ๑๙๗๗/๒๕๐๕  (ประชุมใหญ่)  และคำพิพากษาฎีกาที่  ๑๙๗๗/๒๕๐๕ (ประชุมใหญ่)  และคำพิพากษาฎีกาที่  ๘๓๙๒/๒๕๔๙)  เงินค่าไถ่ทรัพย์  โดยพนักงานอัยการจะร้องขอให้จำเลยชดใช้เงินค่าไถ่ทรัพย์ให้แก่ผู้เสียหายต้องไปไถ่ทรัพย์มาให้แก่ผู้เสียหายไม่ได้เพราะไม่ใช่กรณีเรียกร้องให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่สูญเสีย  (คำพิพากษาฎีกาที่  ๔๒๒/๒๕๐๗) การฉ้อโกงเอาหนังสือสัญญากู้ไป  ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไปก็คือหนังสือกู้  พนักงานอัยการคงเรียก คืนได้แต่ตัวหนังสือสัญญาเท่านั้น  จะขอมาด้วยว่าถ้าหากจำเลยส่งสัญญาไม่ได้ให้ใช้เงินอันเป็นหนี้ตามสัญญาแทนนั้น  หาได้ไม่  เพราะไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้เสียหายได้สูญเสียทรัพย์สินที่มีราคาตามหนี้ในสัญญากู้  แม้หนังสือสัญญากู้สูญหายไปก็ยังฟ้องร้องเรียกหนี้กันได้มิใช่ว่าหนี้นั้นจะพลอยสูญไปด้วย  หนี้ตามสัญญากู้มีอย่างไร  ผู้เสียหายชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีแพ่งอีกต่างหาก  (คำพิพากษาฎีกาที่  ๔๐/๒๕๐๘  (ประชุมใหญ่)  ค่าแรงงานหรือค่าจ้างตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  ๓๔๔  ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จะเรียกร้องคืน  (คำพิพากษา  ฎีกาที่  ๑๐๔๑/๒๕๑๐)  สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากเป็นลวดทองแดงอยู่  มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่นแล้ว  เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้วพนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๔๓  อีกไม่ได้แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่  (คำพิพากษาฎีกา  ๑๖/๒๕๔๔)
                เมื่อได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์สำคัญพร้อมคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจข้างต้นแล้วข้าพเจ้าอยากที่จะนำข้อสอบความรู้ชั้นเนติบัณฑิตภาคสอง  สมัยที่  ๖๓  ปีการศึกษา  ๒๕๕๓  ข้อ    มากล่าวถึง  เนื่องจากเป็นการนำเอาประเด็นการเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๔๓  มาออกทดสอบความรู้  โดยจะกล่าวถึงแนวคำตอบไว้พร้อมกัน  ดังนี้
                ข้อ    พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายดำเป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นว่า  จำเลยได้บุกรุกเข้าไปในบ้านของสมชาย  ผู้เสียหาย  แล้วลักเอาโฉนดที่ดินและบัตรเครดิตซึ่งเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารทนุไทย  จำกัด  (มหาชน)  ที่ออกให้แก่ผู้เสียหายไป  หลังเกิดเหตุจำเลยได้นำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวไปใช้เบิกถอนเงิน  จำนวน  ๒๐๐,๐๐๐  บาท  ผ่านเครื่องฝาก  -  ถอนเงินอัตโนมัติไปจากวงเงินบัตรเครดิตของผู้เสียหายไปขายให้แก่นายเขียว  เป็นเงิน  ๕๐๐,๐๐๐  บาท  และได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่นายเขียว  อันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ปลอมเอกสารสิทธิ  ปลอม  และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นที่ออกให้เพื่อใช้เบิกเงินกับขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาที่ดิน  จำนวน  ๕๐๐,๐๐๐  บาท  และคืนเงิน  จำนวน  ๒๐๐,๐๐๐  บาทให้แก่ผู้เสียหาย
                ให้วินิจฉัยว่า  พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาที่ดิน  จำนวน  ๕๐๐,๐๐๐  บาทและคืนเงิน  จำนวน  ๒๐๐,๐๐๐  บาท  ที่จำเลยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์เบิกถอนไปให้แก่ผู้เสียหายได้หรือไม่
                จากคำถามข้างต้น  ประเด็นที่จะต้องพิจารณาในเบื้องต้น  คือ  การที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  ๔๓  ให้อำนาจพนักงานอัยการที่จะเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนแทนผู้เสียหาย  จากการกระทำความผิด    ลักษณะเท่านั้น  ยังผลให้ตามกรณี  ความผิดลักทรัพย์เท่านั้นที่จะเป็นความผิดมูลฐานที่พนักงานอัยการจะเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์คืนแทน  ความผิดฐานอื่นกล่าวคือ  ปลอมเอกสารสิทธิใช้เอกสารสิทธิ  ปลอมและใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นที่ออกให้เพื่อใช้เบิกเงิน  ไม่อาจนำมาเป็นฐานในการเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์คืนโดยพนักงานอัยการได้
                ประเด็นต่อมา  คือพนักงานอัยการมีอำนาจที่จะขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาที่ดินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท  หรือไม่  จำเลยลักโฉนดที่ดินผู้เสียหายไป  ทรัพย์สินของผู้เสียหายที่สูญเสียไปจึงเป็นโฉนดที่ดินเท่านั้น  แม้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่บุคคลภายนอกโดยได้รับเงิน  จำนวน  ๕๐๐,๐๐๐  บาท  ตอบแทนก็ตาม  แต่ก็เป็นเงินที่จำเลยได้มาจากการปลอมหนังสือมอบอำนาจของผู้เสียหายแล้วขายที่ดิน  จึงมิใช่ทรัพย์สินของผู้เสียหายแล้วขายที่ดิน  จึงมิใช่ทรัพย์สินของผู้เสียหายแล้วขายที่ดิน  จึงมิใช่ทรัพย์สินของผู้เสียหายที่สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำ  ผิดฐานลักทรัพย์  จึงไม่ต้องใช้ราคาที่ดินเป็นเงิน  ๕๐๐,๐๐๐  บาท  ตามที่ได้รับจากการขายที่ดินแก่ผู้เสียหาย
                ประเด็นสุดท้าย  คือ  พนักงานอัยการมีอำนาจที่จำขอให้จำเลยคืนเงิน  จำนวน  ๒๐๐,๐๐๐  บาท  ที่จำเลยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์เบิกถอนไปให้แก่ผู้เสียหายได้หรือไม่  เงินจำนวน  ๒๐๐,๐๐๐ บาท  ที่จำเลยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้เบิกถอนเงินของผู้เสียหายไปอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๒๖๙/๕  และมาตรา  ๒๖๙/๗  นั้น  พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่า  จำเลยได้ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารทนุไทย  จำกัด  (มหาชน)  ซึ่งได้ออกให้แก่ผู้เสียหาย  อันเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่จำเลยลักไปเพื่อประโยชน์ในการเบิกถอนเงินจำนวน  ๒๐๐,๐๐๐  บาท  ไปจากวงเงินเครดิตของผู้เสียหายโดยมิชอบ  และยังมีคำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินดังกล่าวย่อมแปลคำฟ้องโจทก์ได้ว่าโจทก์มุ่งประสงค์ที่จะให้ลงโทษจำเลยฐานลักเงินของผู้เสียหายอยู่ด้วย  เพียงแต่วิธีการลักเงินดังกล่าวก็โดยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์เบิกถอนเงินผ่านเครื่องฝาก  -  ถอนเงินอัตโนมัตินั่นเอง  จึงเป็นความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์และความผิดฐานลักทรัพย์ด้วย  ดังนี้  พนักงานอัยการมีอำนาจขอให้จำเลยคืนเงิน  จำนวน  ๒๐๐,๐๐๐  บาท  แก่ผู้เสียหายเท่านั้น  ซึ่งเป็นการนำคำพิพากษาฎีกาที่  ๕๒/๒๕๕๓  มาเป็นหลักในการออกข้อสอบประเด็นหลังนี้นั่นเอง
                โดยสรุป  ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลักประการสำคัญเกี่ยวกับการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาเหล่านี้  จะเป็นประโยชน์กับท่านทั้งหลายในประการที่จะนำใช้ในการประกอบวิชาชีพทางกฎหมายต่างๆ  ต่อไป  ไม่ว่าจะในฐานะผู้พิพากษา  อัยการ  ตำรวจ  ทนายความ  อาจารย์ผู้สอนกฎหมาย  หรืออาชีพอื่นๆ  ในโอกาสนี้ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ  โดยขอให้ท่านประกอบวิชาชีพด้วยความสุจริตและคำนึงถึงประเทศชาติเป็นสำคัญและขอฝากคติในการดำรงตนและปฏิบัติหน้าที่แก่ท่านทั้งหลาย  ดังนี้
                เที่ยงธรรมเป็นกลาง  สรรค์สร้างสามัคคี  โปร่งใสในหน้าที่  ภักดีต่อแผ่นดิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น