คำถาม คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวที่มีผู้เสียหายหลายคน
หากผู้เสียหายคนหนึ่งรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดแล้วไม่ร้องทุกข์ภายในกำหนด
3 เดือน ตาม ป.อ.มาตรา 96 คดีสำหรับผู้เสียหายคนอื่นจะขาดอายุความด้วยหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3085/2537
โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ล. ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหายักยอกทรัพย์ของบริษัท (ความผิดอันยอมความได้)
โดยโจทก์มิได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยไว้ก่อน ดังนี้
เมื่อได้ความว่าก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ด. ผู้ถือหุ้นอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจร้องทุกข์เช่นเดียวกับโจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยภายใน
3 เดือนนับแต่วันที่ ด. รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวจำเลยผู้กระทำความผิดแล้ว
คดีโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.อ.มาตรา 96
คำพิพากษาฎีกาที่ 386/2551 แม้ บ. ผู้เช่าซื้อยังชำระราคาค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วน กรรมสิทธิ์ในรถยนต์บรรทุกดังกล่าวยังเป็นของ ว. ผู้ให้เช่าซื้อ แต่ บ. ก็มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์จากรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อนั้นและมีหน้าที่ต้องส่งคืนรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อยแก่ ว. ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องคืน เมื่อจำเลยทั้งสองยักยอกชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถยนต์บรรทุกดังกล่าวไปจาก บ. บ. ย่อมได้รับความเสียหายจึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองได้เช่นเดียวกับ ว. เจ้าของรถยนต์บรรทุกดังกล่าว คดีนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อ บ. รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2541 แต่มีการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2542 ซึ่งเกินกว่าสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีโจทก์จึงขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 96
คำถาม คดีอาญาที่จำเลยให้การรับสารภาพ แต่หากคำให้การที่ยื่นต่อศาล หรือคำร้องที่ยื่นมาพร้อมคำให้การ มีข้อความทำนองว่าไม่มีเจตนา หรือเข้าใจว่าเป็นความผิด หากโจทก์ไม่สืบพยานศาลจะพิพากษาอย่างไร
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 13516/2553 คำให้การของจำเลยที่ยื่นต่อศาลมีใจความว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ แต่จำเลยขอแถลงข้อเท็จจริงต่อศาลเป็นเรื่องจริงของคดีนี้คือ จำเลยประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป วันเกิดเหตุจำเลยรับจ้างเฮียเหลานำแผ่นวีซีดีมาส่งที่บริเวณคลองถม โดยเฮียเหลาบอกจำเลยว่าเป็นแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ทั่วๆไป ซึ่งออกฉายในโรงภาพยนตร์มาแล้วเหมือนกับที่เคยจ้างจำเลยมาส่งในครั้งก่อน
จำเลยไม่อาจทราบได้ว่าเป็นแผ่นวิซีดีลามก
จำเลยถูกเฮียเหลาหลอกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด
ส่วนข้อความต่อจากนั้นจำเลยขอให้ศาลชั้นต้นลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลย
ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ
ปรากฏตามคำให้การจำเลยที่ยื่นต่อศาล โจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน
คำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยรับว่าตนมีส่วนที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ ซึ่งเป็นความผิดตามฟ้องเท่านั้น
จำเลยถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าแผ่นวีซีดีของกลางเป็นวัตถุหรือสิ่งของลามก
เท่ากับจำเลยอ้างว่าไม่มีเจตนากระทำความผิด จึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นคำให้การรับสารภาพว่า
จำเลยกระทำผิดจริงตามที่โจทก์ฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน จึงลงโทษจำเลยไม่ได้
ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185
คำพิพากษาฎีกาที่ 5597/2553
คำให้การของจำเลยทั้งห้าเมื่ออ่านรวมกับคำร้องที่ยื่นมาพร้อมกับคำให้การแล้ว
จำเลยทั้งห้ายังคงโต้แย้งว่าที่ดินตามฟ้องมิใช่ที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของ ช.
จึงมิใช่ที่ดินของโจทก์ซึ่งฟ้องคดีในฐานะผู้จัดการมรดกของ ช.
เหตุที่จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพอาจเป็นเพราะคดีอยู่ระหว่างเจรจาว่าจะมีการชดใช้ค่าขนย้ายให้แก่จำเลยทั้งห้าตามที่ทนายโจทก์แถลง
และจำเลยทั้งห้าอาจเข้าใจว่าการกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นความผิด
จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นคำให้การรับสารภาพว่าจำเลยทั้งห้าได้กระทำความผิดจริงตามที่โจทก์ฟ้อง
เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน คดีจึงลงโทษจำเลยทั้งห้าไม่ได้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 185
คำถาม คดีละเมิดอำนาจศาล
อยู่ในบังคับของข้อจำกัดเกี่ยวกับการอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่
1926/2548 บทบัญญัติมาตรา 31 และมาตรา 33 แห่ง ป.วิ.พ.
เป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลลงโทษกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเพื่อให้ศาลสามารถควบคุมการดำเนินกระบวนพิจารณาทั้งในและนอกศาลให้ดำเนินไปได้โดยราบรื่นรวดเร็วและเป็นธรรมต่อคู่ความทุกฝ่าย
แม้ว่ามาตรา 33 จะกำหนดให้ลงโทษจำคุกและปรับซึ่งเป็นโทษทางอาญาด้วยก็ตาม แต่เนื่องจากบทบัญญัติในเรื่องละเมิดอำนาจศาลเป็นบทบัญญัติพิเศษที่ไม่เกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำความผิดทางอาญาทั่วไป
จึงไม่อยู่ในบังคับของข้อจำกัดเกี่ยวกับการอุทธรณ์ฎีกาตาม
ป.วิ.อ. จำเลยจึงสามารถฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ต่อศาลฎีกาได้
คำสั่งศาลฎีกาที่ 2083/2543
คำสั่งศาลที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 228 (1) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยจึงไม่จำต้องขออนุญาตผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาพาอาวุธปืนติดตัวมาในบริเวณศาล เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล
เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ในชั้นไต่สวนของศาลชั้นต้น
ผู้ถูกกล่าวได้ให้การรับสารภาพโดยไม่มีข้อต่อสู้เป็นอย่างอื่น คดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของผู้ถูกกล่าวหาตามที่ถูกกล่าวหา
ผู้ถูกกล่าวหาจะฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้
เพราะไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
คำถาม
จำเลยจะฟ้องแย้งจำเลยด้วยกันหรือฟ้องแย้งบุคคลภายนอกได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5578/2549
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (3) ฟ้องแย้งเป็นคำฟ้องอย่างหนึ่ง ดังนั้น
การบรรยายฟ้องจะต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง
กล่าวคือต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ
ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น และจะต้องบรรยายให้เห็นว่าโจทก์ได้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลยอย่างไรตามมาตรา
55
ทั้งต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคท้าย
ฟ้องแย้งของจำเลยอ้างว่าจำเลยได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดสอบเขตเพื่อแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินของจำเลยให้ถูกต้องตามความจริง
แต่โจทก์ไปคัดค้านมิให้เจ้าพนักงานที่ดินแก้ไขรูปแผนที่ในโฉนด
จึงขอให้บังคับโจทก์ยินยอมรับการสอบเขตที่ดินของจำเลย
เป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลย มูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทตามประเด็นในคำฟ้องเดิมของโจทก์ ซึ่งเป็นเรื่องขับไล่จำเลยชอบที่จะฟ้องเป็นคดีใหม่ต่างหาก
ไม่อาจขอรวมมาในคำให้การได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม
ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับเจ้าพนักงานที่ดินแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ดินของโจทก์และจำเลยให้ตรงกับความจิรงเป็นฟ้องแย้งที่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเป็นบุคคลภายนอก
มิใช่ฟ้องแย้งโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดี จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
คำพิพากษาฎีกาที่
7606/2549 ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวกับฟ้องเติมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้
ฟ้องเดิมของโจทก์คดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องของบริษัท ว.
มาตามสัญญาขายทรัพย์สินขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินซึ่งรวมทั้งสิทธิเรียกร้องที่บริษัทดังกล่าวมีต่อจำเลยทั้งสามตามมูลหนี้กู้ยืมเงิน
ค้ำประกันและจำนอง แล้วโจทก์ใช้สิทธิของบริษัท ว.
ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสามชำระหนี้ที่ค้างชำระ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
อ้างว่าบริษัท ว. ได้ตกลงร่วมลงทุนให้การสนับสนุนโครงการของจำเลยที่ 1
โดยปล่อยสินเชื่อให้แก่จำเลยที่ 1 จำนวน 275,000,000 บาท ตกลงให้จำเลยที่ 1
รับเงินสินเชื่อเป็นคราว ๆ แล้วบริษัท ว. ผิดข้อตกลงมิใช่จ่ายสินเชื่อเงินลงทุน 30,000,000
บาทแก่จำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 1 ไม่สามารถก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จ
และส่งมอบบ้านพร้อมที่ดินให้ลูกค้าได้ ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย
จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์และบริษัท ว. ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1
กรณีตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องนิติสัมพันธ์และข้อพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1
กับบริษัท ว. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี ไม่ใช่สิทธิเรียกร้องระหว่างจำเลยที่ 1
กับโจทก์โดยตรง เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 จะต้องไปว่ากล่าวแก่บริษัท ว. ต่างหาก
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3045/2530
โจทก์กับจำเลยทั้งสามได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งส่วนที่ดินของตนที่มีอยู่ในที่ดินออกจากกัน
จำนวน 3 แปลง แบ่งที่ดินทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออกแปลงที่ 1 เป็นของจำเลยที่ 2
แปลงที่ 2 ถัดจากแปลงที่ 1 มาทางทิศใต้
เป็นของโจทก์ แปลงที่ 3 เป็นของจำเลยที่ 1 แปลงคงเหลือเป็นของจำเลยที่ 3
ส่วนเนื้อที่จะแจ้งในวันไปรังวัดและยังมีเอกสารซึ่งเป็นรูปจำลองแผนที่
มีรอยขีดเส้นแบ่งที่ดินออกเป็น 4 ส่วน
เขียนชื่อโจทก์ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ชื่อจำเลยที่ 3
ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสามลงชื่อรับรองเอกสารและรูปแผนที่ดังกล่าวไว้ด้วยเมื่อโจทก์กับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาทการกำหนดลงไปในเอกสารทั้งสองฉบับว่า ผู้ใดได้ที่ดินส่วนใดย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไปเพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียงแย่งกันเอาที่ดินส่วนนั้นส่วนนี้ ทั้งตามข้อตกลงก็จะบุว่าจะนำช่างรังวัดทำการปักหลักเขตแสดงว่ามีการตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นก็ย่อมจะนำช่างรังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้เนื้อที่ของแต่ละคนเป็นที่แน่นอนเอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จำเลยที่ 2 ที่ 3
จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้
ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
177 วรรคสามและมาตรา 178
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น