คำถาม
คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งรับประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อน
ความปรากฏในศาลสูงจะต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์หรือไม่
และการกระทำความผิดเดียวกันหากพนักงานอัยการยื่นฟ้องแล้ว
ผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องเป็นคดีใหม่ต่างหากได้หรือไม่และศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องอีกหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
(ก) คำพิพากษาฎีกาที่ 477/2508
กระบวนการไต่สวนมูลฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2
(12), 162, 165, 167 นั้น
เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
คดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์
ศาลชั้นต้นสั่งรับประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนนั้น ไม่ใช่การกระทำของโจทก์ จึงปราศจากข้ออ้างที่พิพากษายกฟ้องโจทก์
และการที่จำเลยไม่ให้การรับสารภาพ ไม่ค้าน จะเท่ากับรับว่า
คดีโจทก์มีมูลก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง
ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาพิพากษาต่อไป
(ข) คำพิพากษาฎีกาที่ 4007 –
4008/2530 แม้พนักงานจะยื่นฟ้องจำเลยข้อหายักยอกแล้ว
โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายก็มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดเดียวกันเป็นคดีใหม่ต่างหากได้
ไม่มีกฎหมายห้ามไว้ และเมื่อศาลสั่งรวมพิจารณาคดีเข้าด้วยกันแล้ว
คดีของโจทก์ร่วมก็ไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้องอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 162
คำพิพากษาฎีกาที่
1646-1649/2515
ไม่มีกฎหมายจำกัดอำนาจของพนักงานอัยการมิให้ฟ้องคดีอาญาที่ผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องไว้แล้ว
ตรงกันข้ามข้อความในมาตรา 33 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้บัญญัติถึงการพิจารณาคดีซึ่งทั้งพนักงานอัยการและผู้เสียต่างยื่นฟ้องคดีอาญาเรื่องเดียวกันแสดงว่า
ผู้เสียหายและพนักงานอัยการต่างยื่นฟ้องคดีอาญาเรื่องเดียวกัน
การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ จึงไม่เป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่
คำถาม พนักงานสอบสวนมีความเห็นทางคดีให้สั่งฟ้องจำเลย
แต่พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง
พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยหรือไม่
คำตอบ
มีพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่
1617/2548 ความผิดฐานจำหน่ายเมทเฟตามีนเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน
ซึ่งรัฐเป็นผู้เสียหาย โจทก์เป็นเพียงพนักงานสอบสวน แม้จะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ
แต่กฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่ทำการสอบสวนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (6) เท่านั้น
และโจทก์ก็มิใช่บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดดังกล่าว
โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2 (4)
ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาดังกล่าว
คำถาม
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว แล้วต่อมาโจทก์ถอนฟ้องก่อนคดีถึงที่สุด
จำเลยขอคืนค่าปรับ ศาลคืนค่าปรับแก่จำเลย พนักงานอัยการมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3318/2542
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่ากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องและจำเลยขอคืนค่าปรับ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้คืนค่าปรับแก่จำเลย
กรณีจึงเป็นผู้เสียหายใช้อำนาจฟ้องคดีต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 28
โดยพนักงานอัยการมิได้เป็นคู่ความในคดีด้วย
ทั้งกรณีไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498
มาตรา 11
ที่จะให้พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีนี้ได้
พนักงานอัยการจึงไม่สามารถเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ และไม่มีสิทธิฎีกา
ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
คำถาม
ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและการขายทอดตลาด แต่เนื้อหาของคำร้องอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง
จะถือว่าเป็นการร้องขัดทรัพย์หรือไม่ และการที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งกันระหว่างเจ้าของรวมตามคำพิพากษานั้น
บุคคลภายนอกจะมายื่นคำร้องขัดทรัพย์ได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 9508/2553
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง
ให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท
โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์กับจำเลยที่
1 และไม่ใช่ทรัพย์มรดกของ ว. เพราะก่อนที่ ว.
จะถึงแก่ความตายได้ยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้อง
โดยสละการครอบครองและส่งมอบการครองครองให้ผู้ร้อง ตามคำร้องของผู้ร้องมีความมุ่งหมายเพื่อได้รับผลที่จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปล่อยที่ดินพิพาทที่ยึดคืนให้แก่ผู้ร้อง
จึงเป็นกรณีที่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288
ซึ่งบัญญัติไว้โดยเฉพาะในเรื่องร้องขัดทรัพย์
มิใช่เป็นการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีตามมาตรา
296 วรรคสองประกอบมาตรา 27
โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งให้โจทก์และจำเลยทั้งสองตามส่วน เป็นวิธีการแบ่งทรัพย์สินให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 วรรคสอง
โจทก์และจำเลยทั้งสองมิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อกัน
จึงมิใช่การร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
271 ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดอันเป็นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
288
คำพิพากษาฎีกาที่ 7318/2553
ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่า
ที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้และขายทอดตลาดนั้นเป็นของผู้ร้อง โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์ของผู้ร้องและดำเนินการขายทอดตลาดให้แก่โจทก์โดยผู้ร้องไม่รู้เห็นมาก่อน การบังคับคดีจึงกระทำไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ร้องมิได้เป็นลูกหนี้ในฐานะผู้มีส่วนได้เสีย
ขอให้นัดไต่สวนและมีคำสั่งเพิกถอนการนำยึดที่ดินที่ผิดกระบวนการและมิชอบให้ งดการบังคับคดีไว้ก่อนปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนให้แก่ผู้ร้องนั้น
เห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องเป็นการกล่าวอ้างว่า
จำเลยทั้งสามหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ ขอให้ยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงเกี่ยวกับการบังคับคดีครั้งนี้
อันมีความมุ่งหมายเพื่อได้รับผลที่จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนให้แก่ผู้ร้องไปในที่สุด
จึงเป็นกรณีที่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288
ที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะในเรื่องขัดทรัพย์นั่นเอง
มิใช่เป็นการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีตามกฎหมายแต่อย่างใด
และการจะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปล่อยทรัพย์ที่ยึดคืนให้แก่ผู้ร้องได้นั้น ตามมาตรา 288 วรรคหนึ่ง ก็กำหนดให้ยื่นคำร้องขอต่อศาลก่อนเอาทรัพย์ออกขายทอดตลาด
ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดแปลงที่
1ไปก่อนแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องนี้
คำถาม เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดี
ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ หรือผู้ขอรับชำระหนี้จำนอง จะมีสิทธิขอให้บังคับคดีต่อไปหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่
8970/2553
จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่
14 กุมภาพันธ์ 2546
และจำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีวางศาลแล้วเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม
2549 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า
มีเหตุถอนการบังคับคดีจำเลยหรือไม่
เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 295 บัญญัติว่า
ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีในกรณีต่อไปนี้ (1) เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการบังคับคดีนั้นเอง
หรือถอนโดยคำสั่งศาล แล้วแต่กรณี
เมื่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้วางเงินต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษา
พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดี
หรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี หรือได้หาประกันมาให้จนเป็นที่พอใจของศาล
สำหรับจำนวนเงินเช่นว่านั้น (2) ดังนั้น
เมื่อจำเลยอ้างในคำร้องขอให้ถอนการบังคับคดีว่า
จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีและค่าธรรมเสียมในการบังคับคดีครบถ้วนแล้ว
โดยโจทก์ยื่นคำร้องรับว่าได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากจำเลยแล้วจริง
ทั้งขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องของจำเลย ซึ่งเท่ากับโจทก์ก็ประสงค์ให้ถอนการบังคับคดี
ส่วนเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบคำร้องของจำเลยแล้ว
ไม่ได้คัดค้านว่าจำเลยยังชำระค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีไม่ครบถ้วน
ต้องฟังว่าจำเลยชำระค่า ธรรมเนียมในการบังคับคดีครบถ้วนแล้วเช่นกัน
กรณีย่อมไม่มีเหตุบังคับคดีจำเลยอีกต่อไป ไม่ใช่เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ยึดสละสิทธิในการบังคับคดี
หรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด
ที่จะเป็นเหตุให้ผู้ร้องที่ 1 ที่ 2 มีสิทธิขอให้บังคับคดีต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 290 วรรคแปด
พิพากษากลับว่า
ให้ถอนการบังคับคดีจำเลย
คำถาม คดีก่อนศาลมีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดว่า
ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ขาดอายุความ
โจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมจะเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่
8444/2554
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมได้มาโดยอายุความ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่าเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความ
คดีถึงที่สุดแล้ว
ซึ่งสิทธิของโจทก์ที่ได้ทางภาระจำยอมโดยอายุความย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอยู่แล้ว
โจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม ดังนี้
แม้คำขอบังคับท้ายฟ้องจะแตกต่างกันแต่ประเด็นที่ต้องพิจารณาก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกันคือ
ทางพิพาทเป็นภาระจำยอมหรือไม่
เป็นกรณีที่โจทก์สามารถเรียกร้องโดยมีคำขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมในคดีก่อนได้อยู่แล้ว
แต่โจทก์มิได้เรียกร้องมาในคราวเดียวกันในคดีก่อน กลับนำมาฟ้องเรียกร้องเพิ่มเติมเป็นคดีนี้
จึงเป็นประเด็นที่วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148
โจทก์หาอาจอ้างความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความเข้าใจคลาดเคลื่อนสำคัญผิดไปหาได้ไม่
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น