คำถาม ผู้พิพากษาคนเดียวของศาลชั้นต้น
(ศาลจังหวัด)
ตรวจคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกอายัดแล้วพิพากษายกคำร้องขอของผู้ร้อง
เป็นการชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 26 หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 11417/2553
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่อายัด ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งว่า " กรณีการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดมีได้เฉพาะตาม ป.วิ.พ. มาตรา 288 ซึ่งเป็นการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ที่ต้องมีการนำออกขายทอดตลาด
ดังนั้น ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขอเพิกถอนให้ปล่อยทรัพย์ที่อายัด ไม่รับคำร้อง
คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด"
คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยอำนาจในการยื่นคำร้องของผู้ร้อง;ว่าไม่มีอำนาจตามกฎหมาย อันเป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามความหมายแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 131(2) แล้ว ซึ่งมีผลเป็นการพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องทันที โดยมิได้มีคำสั่งรับคำร้องของผู้ร้องไว้ก่อน
กรณีมิใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับหรือคืนคำคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา
18 ดังนั้น
เมื่อปรากฏว่าในการสั่งคำร้องของศาลชั้นต้นมีผู้พิพากษาคนเดียวตรวจคำร้องขอแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
จึงเป็นการไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 24 (2)
เพราะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีซึ่งต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคน
จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา
26 ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย
แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา
142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
คำถาม
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์มิได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคสอง ศาลชั้นต้นจะต้องจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความเสมอไปหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 10330 – 10331/2553 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 198 วรรคสอง
บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ
อย่างไรก็ดีแม้บทบัญญัติดังกล่าวจะใช้คำว่า “ ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ
“ เพื่อเป็นมาตรการมิให้บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดก็ตาม
แต่ก็มิใช่บทบังคับศาลที่จะต้องจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความเสมอไป
ศาลมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจที่จะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้โดยพิจารณาตามพฤติการณ์แห่งคดีเป็นราย
ๆ ไป ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ฟ้องแย้งผู้ร้อง
มาในคำร้องคัดค้านในเรื่องเกี่ยวกับคำร้องขอเดิมของผู้ร้องแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของผู้คัดค้านที่
1 และที่ 2 ว่ายังมีความประสงค์ที่จะดำเนินคดี
นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงต่อไปว่า ผู้ร้องได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการรับฟ้องแย้งของผู้คัดค้านที่ 1
และที่ 2 ว่าไม่ถูกต้อง อันอาจเป็นเหตุทำให้ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เห็นว่าต้องรอคำสั่งศาลชั้นต้นในเรื่องดังกล่าวก่อน
พฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 และที่
2 ถือได้ว่ามีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นไม่จำหน่ายคดีในส่วนฟ้องแย้งของผู้คัดค้านที่
1 และที่ 2 ออกเสียจากสารบบความ ดังนั้น
ที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีจึงไม่ใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
คำถาม
คดีฟ้องให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยยอมรับว่ากู้จริง แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้โจทก์ครบถ้วนแล้ว
ฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5717/2552
ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม
2542 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์
300,000 บาท โดยตกลงผ่อนชำระคืนให้แก่โจทก์เดือนละ 13,000 บาท ภายในวันที่ 5
ของทุกเดือน ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน
เมื่อจำเลยรับว่าได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินจริง
แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยตาม
ป.วิ.พ.มาตรา 84/1
คำถาม กรณีทิ้งฟ้องกฎหมายบังคับว่า
ศาลต้องจำหน่ายคดีทุนทรัพย์หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 414/2553
ในกรณีที่โจทก์ทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2)
ศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 132 (1)
แต่บทบัญญัติมาตรา 132 (1) นี้มิได้บังคับเด็ดขาดว่า ศาลต้องจำหน่ายคดีทุกกรณี
แต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้ ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่จำหน่ายคดีแล้ว
กำหนดเวลาให้โจทก์นำเงินมาเสียค่าขึ้นศาลใหม่ จึงชอบแล้ว
คำถาม คดีฟ้องขอแบ่งที่ดินกรรมสิทธิ์รวม
หากจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของรวม
แต่อ้างว่าโจทก์มีส่วนในที่ดินไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 9324/2553
จำเลยให้การรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส. 3) เลขที่ 241 ด้วย
โจทก์จึงย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา
1357 ที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากัน
จำเลยซึ่งอ้างว่าโจทก์มีส่วนในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่
241 เพียง 3 งาน จึงมีภาระการพิสูจน์ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์มีภาระการพิสูจน์ในประเด็นนี้จึงไม่ถูกต้อง
ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำถาม
บุคคลผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินกับบุคคลที่อ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์
ฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3558/2553 ป.พ.พ. มาตรา 1373 บัญญัติว่า
ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดิน
ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
ที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน
โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวว่าเป็นโจทก์
เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์
จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองที่จะต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยทั้งสอง
ที่จำเลยทั้งสองอ้าง ป.พ.พ. มาตรา 1367
ที่บัญญัติว่าบุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน
ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครองนั้น
มาตรา 1367 เป็นบทบัญญัติทั่วไป
เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดิน ซึ่งกฎหมายต้องการให้แสดงออกซึ่งกรรมสิทธิ์ในทางทะเบียนยิ่งกว่าการครอบครองจึงต้องบังคับตามมาตรา
1373
ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองมีภาระการพิสูจน์ในประเด็นดังกล่าวจึงชอบแล้ว
คำถาม
ค่าทนายความซึ่งคู่ความที่เป็นฝ่ายแพ้คดีจะต้องรับผิดตามคำพิพากษาจะขอทุเลาการบังคับคดีได้หรือไม่ และหากผู้อุทธรณ์ไม่วางเงินค่าทนายความดังกล่าว
ศาลจะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ทันทีได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 12104/2553
ค่าทนายความที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ชำระแก่จำเลยที่ 1
เป็นความรับผิดในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ผู้ฎีกาจะต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 229 หาใช่หนี้ตามคำพิพากษาในเนื่อหาคดี
อันโจทก์จะพึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 231
วรรคหนึ่ง ได้ไม่ ดังนั้น
การที่โจทก์ยื่นฎีกาโดยจงใจนำเพียงค่าธรรมเนียม (ค่าขึ้นศาล) ตามที่จำเลยที่ 1
ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์มาวางศาลตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมกับฎีกา
โดยมิได้วางค่าทนายความที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ชำระแก่จำเลยที่ 1 จึงเป็นการยื่นฎีกาโดยมิชอบตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 229 ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งไม่รับฎีกาได้ทันที
เพราะมิใช่กรณีที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาไม่ครบถ้วนที่ศาลชั้นต้นซึ่งมีหน้าที่ตรวจคำคู่ความจะต้องมีคำสั่งให้โจทก์ชำระให้ครบถ้วนภายในกำหนดระยะเวลาตามที่เห็นสมควรเสียก่อนตาม
ป.วิ.พ.มาตรา 18 วรรคสอง
คำถาม
คำให้การที่ขัดแย้งกันเองหรือคำให้การไม่ชัดแจ้งผลจะเป็นอย่างไร
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6262/2554
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ จำเลยบุกรุกเข้ามาทำประตูและรั้วยาวประมาณ
6 เมตร สูงประมาณ 2 เมตร ปิดกั้นในที่ดิน
ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนประตูและรั้วและชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การในตอนแรกว่า
จำเลยซื้อที่ดินจัดสรรจากโจทก์ 9 แปลง รวมทั้งที่ดินพิพาทในราคา 3,900,000
บาท ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2539
โจทก์เองก็ยอมรับกรรมสิทธิ์ของจำเลยเหนือที่ดินพิพาท เท่ากับจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นของจำเลย แต่จำเลยกลับให้การในตอนหลังว่า
ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย
คำให้การในตอนหลังจึงขัดแย้งกับคำให้การในตอนแรกซึ่งอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย
คำให้การของจำเลยจึงไม่ชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหรือเป็นทางสาธารณะ
ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง
คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะประโยชน์
โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาฎีกาที่ 6271/2554 คำให้การของจำเลยที่
3 ต่อสู้เรื่องอายุความไว้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น
โจทก์ได้ฟ้องร้องเกินกว่ากำหนดอายุความฝากทรัพย์และอายุความละเมิด
โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้อง เป็นคำให้การที่มิได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความว่า
คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะอะไร ทำไมถึงขาดอายุความ ถือเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งปัญหาเรื่องคดีขาดอายุความเป็นทั้งปัญหาข้อเท็จจริงที่คู่ความต้องนำสืบ
และหากเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลไม่อาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1385/2554
จำเลยที่ 1 ให้การแต่เพียงว่า
ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วกล่าวคือ เช็คแต่ละฉบับลงวันที่เท่าใด
โจทก์ใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยที่ 1 แก้ไขวันเดือนปี ในเช็คเป็นวันที่เท่าใด
จำเลยที่ 1 มิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าอายุความนับตั้งแต่วันที่เท่าใด
เช็คขาดอายุความแล้วตั้งแต่เมื่อใด และจะครบกำหนด 1 ปี วันใด
เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177
วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ
จำเลยที่ 1
เพียงแต่ให้การว่า โจทก์และจำเลยที่ 2
โดยทุจริตร่วมกันได้นำเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลยที่ 1
เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่า
โจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยคบคิดกันฉ้อฉลและคบคิดกันฉ้อฉลอย่างไร
รวมทั้งไม่สุจริตหรือทุจริตร่วมกันนำเช็คมาฟ้องอย่างไร จึงไม่มีประเด็นว่าคบคิดกันฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 916 รวมทั้งใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือไม่
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น