“อสังหาริมทรัพย์กับการจำนอง”
ในมุมมองของเจ้าหนี้
หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
ในบรรดาหลักประกันต่างๆ ที่ลูกหนี้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้นั้น
มีหลักประกันทั้งประเภทที่บัญญัติชัดแจ้งตามกฎหมาย ได้แก่
การจำนอง การจำนำ และการค้ำประกัน กับหลักประกันที่มีการสร้างสรรค์ขึ้นโดยฝีมือของนักกฎหมายภายใต้หลักกฎหมายเรื่องอื่น เช่น
หลักกฎหมายเรื่องหักกลบลบหนี้
กรณีธนาคารหักเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคาร
หลักกฎหมายเรื่องการให้เช่าซื้อ
โดยวิธีซื้อทรัพย์สินนั้นมาก่อนในราคาเท่ากับสินเชื่อที่จะให้ แล้วให้เช่าซื้อกลับไปในราคารวมดอกเบี้ย
หลักกฎหมายเรื่องคำเสนอและเงื่อนไขบังคับก่อน
ในกรณีการทำคำมั่นว่าจะโอนสิทธิการเช่าโดยมีเงื่อนไขให้คำมั่นมีผลสมบูรณ์เมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้
หรือแม้แต่การทำประกันชีวิตตามทุนประกันเท่ากับสินเชื่อค้างชำระโดยให้เจ้าหนี้เป็นผู้รับประโยชน์ เป็นต้น
แต่ในความเห็นของผู้เขียนแล้ว
การจำนองด้วยอสังหาริมทรัพย์น่าจะถือเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าหนี้
๑ ทำไมการจำนองอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าหนี้
๑.๑
อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทสามารถจำนองได้ทั้งสิ้น
กฎหมายบัญญัติในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนว่าอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทสามารถนำมาเป็นหลักปรกันด้วยการจำนองได้ ดังนั้น
เจ้าหนี้จึงมีทางเลือกในการรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ได้หลากหลาย
ขอเพียงแค่ทรัพย์สินที่นำมาจำนองนั้นถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมาย
๑.๒ สิทธิจำนองถือเป็นหนี้มีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินที่จำนองเป็นหลักประกัน
สิทธิของเจ้าหนี้ผู้รับจำนองนั้นมีบุริมสิทธิในอันที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินที่จำนองเป็นหลักประกันในลำดับก่อนเจ้าหนี้อื่นทั้งหมด
แม้แต่เจ้าหนี้บุริมสิทธิพิเศษบางประเภทด้วย คงมีเพียงบุริมสิทธิบางเรื่องเท่านั้นที่อยู่ในลำดับก่อนสิทธิจำนองซึ่งมีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้ง เช่น
บุริมสิทธิในมูลรักษาอสังหาริมทรัพย์และบุริมสิทธิในมูลจ้างทำของบน อสังหาริมทรัพย์ที่มีการจดทะเบียนแล้ว
หรือบุริมสิทธิของนิติบุคคลอาคารชุดเกี่ยวกับค่าภาษีอากรและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนกลาง
ซึ่งผู้จัดการได้ส่งรายการหนี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วตามกฎหมายอาคารชุด เป็นต้น
ในกรณีดังกล่าวไม่ต้องพิจารณาว่าการจดทะเบียนจำนองจะเกิดขึ้นก่อนหรือภายหลังการเกิดบุริมสิทธิของเจ้าหนี้อื่น
๑.๓ การจำนองเป็นการให้หลักประกันด้วยทรัพย์สิน
ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องการมีชีวิตอยู่หรือไม่ของผู้ให้หลักประกัน
แตกต่างจากการค้ำประกันที่เป็นการให้หลักประกันด้วยบุคคล หากผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตาย หลักประกันนั้นก็สิ้นสุดลง
ในปัญหานี้อาจมีข้อโต้แย้งว่า กรณีอาจเป็นไปได้ที่ทรัพย์สินที่นำมาวางไว้เป็นหลักประกันนั้นอาจจะเสื่อมค่าไป เช่น
บ้านที่นำมาจำนองไว้ถูกไฟไหม้ทั้งหลัง
หลักประกันของเจ้าหนี้ย่อมลดมูลค่าลง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ถึงแม้ว่าบ้านจะถูกไฟไหม้ไปทั้งหมด
แต่อย่างน้อยก็ยังคังมีที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านเป็นหลักประกันอยู่
นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติ
เจ้าหนี้สามารถลดความเสี่ยงในเรื่องนี้ได้
ด้วยการบังคับให้ลูกหนี้ทำประกันภัยไว้
โดยกำหนดให้เจ้าหนี้เป็นผู้รับประโยชน์
หากเกิดเหตุใดๆ
ขึ้นทำให้บ้านทั้งหลังได้รับความเสียหาย
บริษัทประกันภัยย่อมมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่เจ้าหนี้ในฐานะผู้รับประโยชน์นั้นเอง
๑.๔ การจำนองยังตกติดไปกับทรัพย์สินเสมอ
ไม่ว่าเจ้าของทรัพย์สินที่นำมาจำนองนั้นจะโอนต่อไปให้ใครก็ตาม
เนื่องจากการจำนองอสังหาริมทรัพย์จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์
จะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีการจดทะเบียนด้วย
กฎหมายจึงให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหนี้ผู้รับจำนองเนื่องจากมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจำนองปรากฏในเอกสารทางทะเบียนอย่างชัดเจน ดังนั้น
ไม่ว่ากรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นจะโอนให้แก่ใครไปกี่ทอดก็ตาม
เจ้าหนี้ก็ยังมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองนั้น กรณีนี้ต้องถือว่าการจำนองเป็นทรัพยสิทธิ เป็นสิทธิที่ติดอยู่กับตัวทรัพย์สินนั้นและสามารถใช้อ้างยันบุคคลต่างๆ ได้ทั้งหมด
มีปัญหาน่าคิดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้ ซึ่งอยากจะนำมาให้ผู้อ่านได้ลองพิจารณากัน
ปัญหาที่ ๑
นายแดงนำที่ดินมีโฉนดมาจำนองเป็นหลักประกันแก่เจ้าหนี้
แต่ที่ดินแปลงนี้มีนายขาวครอบครองปรปักษ์ได้ เจ้าหนี้จะบังคับจำนองได้หรือไม่
กรณีที่
๑
นายขาวครอบครองปรปักษ์ได้ที่ดินมาก่อนการนำที่ดินไปจำนอง แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๘๗/๒๕๔๗
วินิจฉัยว่า
โจทก์ได้กรรมสิทธิที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ก่อนที่จำเลยจะจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท
แต่โจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์จะบังคับให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนอย่างหนึ่งไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง
ประกอบมาตรา ๑๓๐๑
กรณีที่ ๒
นายขาวครอบครองปรปักษ์ได้ที่ดินมาภายหลังการนำที่ดินไปจำนอง แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
คำพิพากษาฎีกาที่ ๙๘๘/๒๕๔๑
วินิจฉัยว่า
ผู้ร้องอ้างว่า เมื่อประมาณปี ๒๕๑๔
ผู้ร้องซึ่งที่ดินเนื้อที่ ๘๔ ตารางเมตร
พร้อมตึกแถว ๒ คูหา
เลขที่ ๒๗๔๑ ซึ่งปลูกบนที่ดินดังกบ่าว อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๘๓
ที่จำเลยจดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์
ผู้ร้องชำระราคาแล้ว
ผู้ร้องและครอบครัวเข้าไปอยู่ที่ดินและตึกแถวพิพาทตั้งแต่ปี ๒๕๑๕
แต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
และต่อมาผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์อันเป็นการกล่าวอ้างว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์รับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๘๓
ทั้งแปลงจากจำเลยเมื่อวันที่
๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๖
(แสดงว่าก่อนการครอบครองปรปักษ์จะครบกำหนด
๑๐ ปี – ผู้เขียน) จึงเห็นได้ว่า
โจทก์ย่อมได้สิทธิจำนองอันครอบไปถึงที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๘๓
ทั้งแปลงโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วตั้งแต่ก่อนที่ผู้ร้องจะสามารถอ้างได้วว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาท
สิทธิจำนองนี้เป็นสิทธิครอบเหนือทรัพย์จำนองทั้งหมดด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๗๑๖ ทรัพย์ส่วนที่ผู้ร้องได้ไปโดยการครองครองปรปักษ์นับเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์ที่จำนอง
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับจำนองที่ดินทั้งแปลงได้
เมื่อปรากฏว่าโจทก์ผู้รับจำนองได้รับจำนองที่ดินและตึกแถวพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนจำนองโดยสุจริต
ผู้ร้องซึ่งได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับจำนองไม่ได้
จากแนวคำพิพากษาฎีกาทั้ง ๒
กรณีดังกล่าว สรุปได้ว่า
ไม่ว่าการครอบครองปรปักษ์นั้นจะได้มาก่อนหรือภายหลังการจดทะเบียนจำนองแต่ตราบใดที่ผู้ครองครองปรปักษ์ยังไม่ได้ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินและจดทะเบียนตามกฎหมาย
ผู้รับจำนองซึ่งรับจำนองที่ดินนั้นไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนย่อมมีสิทธิบังคับจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวได้
ปัญหาว่าถ้าศาลมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินและผู้ครอบครองปรปักษ์ดำเนินการจดทะเบียนแล้ว
สิทธิจำนองจำยังคงมีผลเหนือที่ดินนั้นอยู่หรือไม่ ผู้เขียนเห็นว่าต้องแยกพิจารณาเป็น ๒ กรณี
กรณีที่ ๑
ถ้าศาลมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์และมีการจดทะเบียนตั้งแต่ก่อนที่จะมีการจดทะเบียนจำนอง แสดงว่าในขณะที่มีการจดทะเบียนจำนองนั้น ผู้จำนองไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไป
ดังนั้นผู้จำนองไม่มีสิทธินำที่ดินนั้นมาจำนอง
ผู้รับจำนองก็ไม่อาจอ้างสิทธิจำนองของตนเหนือสิทธิของผู้ครอบครองปรปักษ์ได้
กรณีที่ ๒
ถ้าศาลมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิและมีการจดทะเบียนภายหลังจากการจำนอง ผู้รับจำนองยังคงได้รับความคุ้มครองอยู่หรือไม่ ผู้เขียนเห็นว่า
ถึงแม้การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์นั้นไม่ใช่การโอนอสังหาริมทรัพย์โดยนิติกรรม และในทางปฏิบัติศาลจะต้องส่งหมายเรียกให้แก่ผู้รับจำนองซึ่งมีชื่อในโฉนดที่ดินคัดค้านเข้ามาในคดีที่มีการร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินก็ตาม
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผู้ครอบครองปรปักษ์นั้นมีสิทธิเหนือผู้รับจำนองเพราะต้องถือว่าการครอบครองปรปักษ์เป็นการได้มาซึ่งที่ดินโดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรรมและไม่อาจยกขึ้นต่อสู้ผู้รับจำนองซึ่งได้สิทธิมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๒๙๙ วรรคสอง
หากให้มีการตีความไปในอีกทางหนึ่งย่อมก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม
เพราะจะเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ผู้รับจำนองอาศัยเป็นช่องว่างของกฎหมายทำให้หลักประกันของเจ้าหนี้ลดลงได้
ปัญหาที่ ๒
นายแดงเป็นเจ้าของที่ดินมี น.ส. ๓ เป็นเอกสารสิทธิ นายแดงนำไปจดทะเบียนจำนองไว้กับเจ้าหนี้
ต่อมาทางราชการออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินแปลงดังกล่าว
แต่หลงลืมไม่ได้จดแจ้งการจำนองไว้ในสารบัญทะเบียนของโฉนดที่ดิน
หลังจากนั้นนายแดงโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายขาว โดยนายขาวไม่ทรายว่าที่ดินแปลงนี้เคยมีการจดทะเบียนจำนองไว้กับเจ้าหนี้ ดังนี้
เจ้าหนี้จะบังคับจำนองเอาจากที่ดินแปลงดังกล่าวได้หรือไม่
ปัญหานี้มักเกิดขึ้นในกรณีของที่ดินที่อยู่ในต่างจังหวัดที่ยังคงมีเอกสารสิทธิประเภทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เวลาที่ทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดินนั้นอาจมีการออกให้พร้อมกันหลายแปลงและอาจมีการหลงลืมไม่ได้จดแจ้งการจำนองไว้ในโฉนดที่ดิน การพิจารณาถึงปัญหานี้ ต้องถือตามหลักกฎหมายที่ว่า การจำนองยังตกติดไปกับทรัพย์นั้นเสมอ ดังนั้น
เมื่อการจำนองมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว
ถึงแม้ว่าที่ดินแปลงนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงประเภทของเอกสารสิทธิในเวลาต่อมา
การจำนองก็ยังมีผลครอบไปถึงทรัพย์สินที่จำนองนั้นด้วย
เพราะทรัพย์สินที่จำนองยังคงเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน
คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๒๐๙/๒๕๔๗
วินิจฉัยว่า การที่นาย ส. เจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓)
ที่จำนองไว้แก่โจทก์นำที่ดินไปขอออกโฉนดที่ดินในขณะที่ยังมีภาระจำนองอยู่
แต่เมื่อออกโฉนดที่ดินแล้วกลับไม่มีการจดแจ้งระบุไว้ในสารบัญจดทะเบียนด้านหลังโฉนดว่าที่ดินมีภาระจำนองอยู่ ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้องตามระเบียบ
สิทธิจำนองของโจทก์ยังคงมีอยู่ในฐานะเป็นทรัพยสิทธิ
ยังไม่ระงับสิ้นไปและครอบคลุมตลอดไปถึงที่ดินพิพาทด้วย โจทก์ในฐานะผู้รับจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ของนาย
ส.
ซึ่งที่ดินพิพาทเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำนองไว้แก่โจทก์ดังกล่าว
จึงมีสิทธิบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินของผู้ร้องได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๗๐๒ วรรคสอง, ๗๑๖, ๗๑๗
วรรคหนึ่ง และมาตรา ๗๔๔
การที่ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาภายหลังจากที่โจทก์ได้รับจำนองโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้จะได้มาโดยสุจริตด้วยการซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลก็ตาม แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๓๓๐ บัญญัติเพียงว่าสิทธิของผู้ซื้อไม่เสียไป
แม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์นั้นมิใช่ของจำเลย
มิได้คุ้มครองถึงกับให้ผู้ซื้อได้สิทธิโดยปลอดจากภาระผูกพันใดๆ ดังนั้น
การได้มาซึ่งที่ดินพิพาทของผู้ร้องจึงหาทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิจำนองซึ่งเป็นทรัพยสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่เดิมอันตกติดไปกับทรัพย์จำนองไม่
คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๒๔๑/๒๕๓๓
วินิจฉัยว่า
ที่ดินพิพาทมีโฉนดของผู้ร้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.
๓ เลขที่ ๔๐๘
ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับจำนองไว้โดยชอบขณะที่มี น.ส. ๓ เป็นหลักฐาน
โดยมีชื่อผู้จำนองเป็นเจ้าของ
การจำนองยังไม่ระงับสิ้นไป
โจทก์ยังคงมีสิทธิบังคับจำนองเอากับที่ดินทั้งสองแปลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๗๔๔ และ ๗๐๒
วรรคสอง การที่ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในภายหลังแม้จะได้มาโดยสุจริตก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่เดิมเสียไป
ปัญหาที่ ๓
นายแดงเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดซึ่งนำไปจดทะเบียนจำนองไว้กับเจ้าหนี้ต่อมาทางราชการเพิภอนโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวเพราะมีการออกทับคลองสาธารณะและออกโฉนดที่ดินให้ใหม่เป็น ๒
ฉบับ
สำหรับที่ดินแต่ละฝั่งคลอง
เจ้าหนี้จะบังคับจำนองที่ดินทั้ง
๒ โฉนดได้หรือไม่
ในความเห็นของผู้เขียน
การพิจารณาปัญหานี้ต้องยึดถือหลักการของกฎหมายเช่นเดียวกับปัญหาที่ ๒
ที่ว่า การจำนองยังตกติดไปกับทรัพย์สินเสมอ ดังนั้น
เมื่อการจำนองมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว
ถึงแม้ว่าที่ดินแปลงนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงเอกสารสิทธิในเวลาต่อมาก็ต้องถือว่าการจำนองยังมีผลสมบูรณ์ครอบไปถึงที่ดินตามโฉนดทั้งสองฉบับที่มีการออกแทนโฉนดที่ดินฉบับเดิม
๑.๕ ถึงแม้ว่าลูกหนี้จะไปก่อภาระหรือทรัพยสิทธิอะไรต่ออสังหาริมทรัพย์นั้นในภายหลังโดยที่ผู้รับจำนองไม่ได้ให้ความยินยอม เช่น
ไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่ที่ดินข้างเคียง เป็นต้น
ก็ไม่กระทบต่อสิทธิของผู้รับจำนอง
ทรัพย์สินที่นำมาจำนองนั้นยังคงอยู่ในความครอบครองของเจ้าของทรัพย์สินต่อไปแตกต่างจากการจำนำที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนำ
เจ้าของทรัพย์สินที่จำนองจึงยังมีสิทธิใช้สอบทรัพย์สินนั้นต่อไป
และยังมีสิทธิในดอกผลที่อาจเกิดขึ้นจากอสังหาริมทรัพย์นั้นได้
การที่ทรัพย์สินยังคงอยู่กับผู้จำนองอาจส่งผลให้ผู้จำนองนำทรัพย์สินนั้นไปก่อภาระบางอย่าง ทำให้หลักประกันของเจ้าหนี้มีมูลค่าลดลง
จึงจำเป็นต้องมีมาตรการคุ้มครองสิทธิของผู้รับจำนอง
นอกเหนือจากให้การจำนองตกติดไปกับทรัพย์ที่จำนองในกรณีที่มีการโอนให้แก่บุคคลภายนอกแล้ว
หากลูกหนี้ผู้จำนองนำทรัพย์สินนั้นไปก่อภาระเพิ่มเติม เช่นไปจดทะเบียนภาระจำยอม ย่อมส่งผลให้มูลค่าของทรัพย์สินที่จำนองเป็นหลักประกันนั้นลดลง ดังนั้น
กฎหมายจึงให้ความคุ้มครองแก่ผู้รับจำนองที่จะขอให้ศาลเพิกถอนภาระดังกล่าวได้ แต่ภาระที่มีการก่อขึ้นในกรณีนี้
ต้องเป็นภาระที่ถือว่าเป็นทรัพยสิทธิตามกฎหมายด้วย
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าภาระที่ก่อขึ้นในภายหลังจะไม่ใช่ทรัพยสิทธิ แต่ถ้าผู้รับจำนองต้องเสียหาย
และบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิไปนั้นรู้อยู่แล้วว่าการกระทำดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อผู้รับจำนองฐานะเจ้าหนี้ ถือเป็นการฉ้อฉล
ผู้รับจำนองมีสิทธิขอให้เพิกถอนสัญญาหรือความผูกพันอันเกิดจากการฉ้อฉลนั้นได้
๑.๖การจำนองยังคงเป็นหลักประกันให้แก่เจ้าหนี้ต่อไป
ถึงแม้ว่าหนี้ที่มีการจำนองเป็นประกันนั้นจะขาดอายุความแล้วก็ตาม
ผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองแม้ว่าหนี้ที่นำทรัพย์สินนั้นมาจำนองจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะใช้สิทธิบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระย้อนหลังเกินกว่า ๕
ปีไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๙๓/๒๗
๑.๗การจำนองผูกติดอยู่กับหนี้ประฑานถึงแม้ว่าเจ้าหนี้จะโอนสิทธิเรียกร้องของตนให้แก่คนอื่น
ทรัพย์สินที่มีการจำนองเป็นหลักประกันก็ตกติดไปด้วย แม้ผู้จำนองไม่ได้ยินยอมก็ตาม
ในกรณีที่เจ้าหนี้ผู้รับจำนองโอนสิทธิเรียกร้องของตนให้แก่บุคคลภายนอก
สิทธิจำนองย่อมตกได้แก่ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องนั้นด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๓๐๕
หลักการของกฎหมายในเรื่องนี้มีข้อพิจารณาสัญว่าจะต้องเป็นการโอนไปเฉพาะสิทธิเรียกร้องเท่านั้น
หากต้องมีการโอนหน้าที่บางประการของเจ้าหนี้ไปด้วย
เท่ากับเจ้าหนี้โอนฐานะลูกหนี้ของตนให้แก่บุคคลภายนอกด้วย ในกรณีเช่นนี้เป็นการโอนทั้งสิทธิในฐานะเจ้าหนี้และโอนหน้าที่ในฐานะลูกหนี้ ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามกฎหมายอันเป็นความระงับแห่งหนี้ เมื่อหนี้ประธานระงับลง สัญญาจำนองอันเป็นอุปกรณ์ก็สิ้นสุดลงด้วย ดังนั้น
การโอนสิทธิจำนองในกรณีของการแปลงหนี้ใหม่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้จำนองด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๓๕๒
๑.๘ความยืดหยุ่นในการบังคับชำระหนี้
เจ้าหนี้ผู้รับจำนองมีสิทธิที่จะเลือกบังคับชำระหนี้ตามมูลหนี้จำนองก็ได้
หรือจะบังคับชำระหนี้เอาจากลูกหนี้อย่างหนี้สามัญก็ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๙๓๒/๒๕๕๐
วินิจฉัยว่า
การจำนองเป็นสัญญาเอาทรัพย์สินตราไว้เป็นการประกันหนี้โดยมีหนี้ประธานและจำนองอันเป็นอุปกรณ์ของหนี้นั้น
ซึ่งอาจแยกออกเป็นคนละส่วนต่างหากจากกันได้
เจ้าหนี้จึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญ คือ
บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๒๑๓ หรือจะบังคับจำนอง คือ
ใช้บุริมสทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองตามมาตรา ๗๒๘
ก็ได้
ทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับว่าในกรณีซึ่งเป็นหนี้จำนองแล้ว
ผู้เป็นเจ้าหนี้จะฟ้องร้องบังคับลูกหนี้อย่างหนี้สามัญตามมาตรา ๒๑๔
ไม่ได้
เป็นแต่เพียงกฎหมายบังคับว่า
ในกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิบังคับจำนองสิทธิของโจทก์ย่อมตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๗๓๓
เท่านั้น ประกอบกับมาตรา ๗๓๓
มิได้บังคับว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองได้แต่ทางเดียว
โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินได้ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่นๆ ของจะเลยรวมทั้งทรัพย์ที่จำนองได้
มิใช่โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้แต่เฉพาะที่ดินที่จดทะเบียนจะนองเป็นประกันหนี้เงินกู้เท่านั้น
นอกจากนี้
เจ้าหนี้สามารถเลือกได้ว่าจะบังคับจำนองด้วยวิธีพการนำทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาด หรือจะบังคับเอาทรัพย์สินหลักประกันนั้นหลุดเป็นสิทธิของตน หากเข้าเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ
ลูกหนี้ขาดส่งดอกเบี้ยเป็นเวลาถึง
๕ ปี
ผู้จำนองไม่ได้แสดงให้เห็นว่าราคาทรัพยส์สินนั้นท่วมจำนวนเงินที่เป็นหนี้
และไม่มีการจำนองรายอื่นหรือบุริมสิทธิที่ได้จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์จำนอง
แตกต่างจากการจำนำที่ต้องบังคับจำนะด้วยวิธีการนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดเท่านั้น
๑.๙
ถึงแม้ว่าจะมีใครมาบังคับคดีลูกหนี้เอาทรัพย์สินที่จำนองนั้นออกขายทอดตตลาด เจ้าหนี้ก็ยังมีสิทธิร้องขอกันส่วนของตนหรือขอให้นำเงินที่ได้จากการนำทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดมาชำระหนี้ให้แก่ตนก่อนที่จะนำเงินที่เหลือไปชำระให้แก่เจ้าหนี้ที่บังคับคดีได้
จากหลักการที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าการจำนองจะตกติดไปกับทรัพย์นั้นเสมอไม่ว่าจะมีการโอนทรัพย์สินที่จำนองไปยังผู้อื่นก็ตาม
ในกรณีที่มีการบังคับคดีนำทรัพย์สินที่จำนองนั้นออกขายทอดตลาด ก็ยังคงต้องตกอยู่ภายใต้หลักการดังกล่าว ผู้ซื้อทรัพย์ไปจากการขายทอดตลาดก็จะต้องรับภาระการจำนองนั้นไปด้วยเพราะการบังคับคดีไม่กระทบถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นที่เจ้าหนี้อาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้
อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ
หากให้มีการนำทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดโดยให้การจำนองตกติดไปด้วย อาจทำให้การขายเป็นไปได้ยาก
เจ้าหนี้มีสิทธิที่จำเลือกได้ว่าต้องการให้ขายทรัพย์สินนั้นโดยปลอดจำนองหรือไม่ก็ได้ในกรณีเช่นนี้เจ้าหนี้ผู้รับจำนองยังได้รับความคุ้มครองอยู่
โดยการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
๒๘๙
ซึ่งเจ้าหนี้ร้องขอให้ศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้นำเงินที่ได้จากการขายมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ผู้รับจำนองทรัพย์สินนั้นก่อน ในกรณีเช่นนี้
เจ้าหนี้ผู้รับจำนองสามารถยื่นคำร้องได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวบังคับจำนอง
และไม่จำเป็นต้องฟ้องบังคับจำนองก่อนแต่อย่างใด
ถือเป็นสิทธิของเจ้าหนี้ในการเลือกว่าจะปล่อยให้มีการขายโดยติดจำนองต่อไป
หรือขายโดยปลอดจำนองแล้วนำเงินที่ได้มาชำระหนี้ให้แก่ตนก่อน
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๗๕/๒๕๕๑
วินิจฉัยว่า
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๒๘๙ ไม่มีข้อจำกัดสิทธิของผู้รับจำนองว่าจะต้องฟ้องร้องบังคับจำนองก่อนหรือจะต้องเป็นเจ้าหนี้จำนองตามคำพิพากษาจึงจะขอรับชำระหนี้ได้ เมื่อจำเลยที่ ๑
ผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญาจำนองแล้ว
ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองย่อมยื่นคำร้องขอต่อศาลรับชำระหนี้จำนองตามมาตรา ๒๘๙
ได้
การบอกกล่าวบังคับจำนอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๗๒๘
ใช้สำหรับกรณีที่ผู้รับจำนองฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนอง แต่ในกรณีการยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
๒๘๙ ไม่ใช่การฟ้องคดีบังคับจำนองที่จะต้องยึดทรัพย์นั้นอีก
ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองได้โดยไม่จำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ ๑
ลูกหนี้ก่อน
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๘๐๒/๒๕๕๑ วินิจฉัยว่า
เจ้าหนี้จำนองยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองให้เอาเงินที่ได้มานั้นชำระหนี้ตนก่อนเจ้าหนี้อื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
๒๘๙ ได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวบังคับจำนองก่อน เพราะไม่ใช่เรื่องฟ้องบังคับจำนองโดยตรงที่จะต้องบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๗๒๘
๑.๑๐
ถึงแม้ว่าลูกหนี้จะมีหนี้สินล้นพ้นตัวและถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้ก็ยังมีสิทธิได้รับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินจำนองที่เป็นหลักประกันนั้นได้เต็มจำนวน โดยจะยื่นคำขอรับชำระหนี้หรือไม่ก็ได้
ตามกฎหมายล้มละลาย
เจ้าหนี้ผู้รับจำนองถือเป็นเจ้าหนี้มีประกัน
จึงมีสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันที่ลูกหนี้ได้ให้ไว้โดยไม่ต้องขอรับชำระหนี้ ในกรณีเช่นนี้
เจ้าหนี้ผู้รับจำนองสามาราถใช้สิทธิฟ้องบังคับจำนองได้โดยไม่ต้องห้ามตามกฎหมายล้มละลายด้วย แตกต่างจากกรณีทั่วไปที่ห้ามเจ้าหนี้ฟ้องบังคับเอากับทรัพย์สินของลูกหนี้เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว
แต่หากเจ้าหนี้ประสงค์จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายก็สามารถทำได้ หากปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
สิทธิของเจ้าหนี้ผู้รับจำนองในคดีนั้นละลายนี้
เจ้าหนี้ผู้รับจำนองต้องเลือกใช้สิทธิในทางใดทางหนึ่งเท่านั้น ในทางปฏิบัติของเจ้าหนี้จะต้องพิจารณาเปรียบเทียบหนี้กับมูลค่าของทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน
และทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้กับหนี้ที่ลูกหนี้ค้างชำระแก่เจ้าหนี้รายอื่น หากหนี้สูงเกินกว่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันมาก ถ้าไม่ขอรับชำระหนี้ ก็ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่ แต่ถ้าเลือกขอรับชำระหนี้
ก็ทำให้หมดสิทธิเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน
๒. อุปสรรคสำคัญสำหรับเจ้าหนี้และแนวทางในการแก้ไขปัญหา
๒.๑ ผู้จำนองต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สิน
ผู้จำนองนั้นอาจเป็นตัวลูกหนี้เองหรืออาจเป็นบุคคลอื่นก็ได้ แตกต่างจากการค้ำประกันที่ต้องเป็นบุคคลอื่นเสมอ
จึงเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ตัวลูกหนี้เองที่จะหาหลักประกันจากทรัพย์สินที่ตนมีอยู่ หรือจากบุคคลอื่นก็ได้
แต่ผู้ที่จะให้หลักประกันนั้นจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นเสมอ
เงื่อนไขของกฎหมายในเรื่องนี้จัดเป็นอุปสรรคสำคัญของผู้เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองการตรวจสอบอาจเป็นไปได้ยาก
และอาจกระทบต่อสัญญาจำนองได้ถ้าผู้ที่นำที่ดินนั้นมาจำนองไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง มีหลายกรณีที่ศาลพิพากษาให้ผู้รับจำองไม่มีสิทธิบังคับจำนองทรัพย์สิน เนื่องจากผู้จำนองไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินในขณะที่มีการจดทะเบียนจำนอง และกว่าที่ผู้รับจำนองจะรู้ตัวอีกครั้ง
ก็เป็นเวลาที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้และจำเป็นต้องบังคับเอากับหลักประกันนั้นแล้ว
ขอให้ผู้อ่านลองพิจารณาตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้นตามคำพิพากษาฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๒๒๙/๒๕๔๙
วินิจฉัยว่า อ.
ขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์โดยทำเป็นหนังสือแต่ไม่ได้จดทะเบียนโอนสิทธิกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ อ.
ได้สละเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทและโอนการครอบครองโดยส่งมอบที่ดินพิพาทแก่โจทก์ และโจทก์เข้าครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตนในวันที่ซื้อขายแล้ว ดังนั้น
การครอบครองที่ดินพิพาทของ อ. จึงสิ้นสุดลง
และโจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๓๖๗,
๑๓๗๗ และ ๑๓๗๘ อ.
ไม่ใช่เจ้าของและไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปจำนองแก่จเลยที่ ๒
เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๗๐๕
การจำนองจึงไม่มีผลโดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยที่ ๒
ซึ่งเป็นผู้รับจำนองสุจริตหรือไม่เพราะสิทธิของผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ที่ห้ามมิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต
และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๒๙๙ วรรคสอง นั้น
ต้องเป็นการได้สิทธิในที่ดินที่ได้จดทะเบียนแล้ว
และสิทธิที่ได้นั้นต้องเกิดจากเอกสารสิทธิของที่ดินที่ออกโดยชอบ เมื่อการออกโฉนดที่ดินพิพาทไม่ชอบ จำเลยที่
๒
จะอ้างสิทธิที่เกิดจากที่ดินส่วนที่ออกโดยไม่ชอบดังกล่าวหาได้ไม่ กรณีไม่อยู่ในบังคับของมาตรา ๑๒๙๙
วรรคสอง
โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจำนองที่ดินพิพาทระหว่าง อ. กับจำเลยที่
๒ ได้
แนวทางแก้ไขปัญหานี้ในทางปฏิบัติเจ้าหนี้หลายรายโดยเฉพาะสถาบันการเงินขนาดใหญ่เพิ่มขั้นตอนการประเมินทรัพย์สิน
โดยใช้วิธีส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินและสารบบทางทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน การเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินนั้นทำให้เจ้าหน้าที่มีโอกาสสอบถามจากผู้ที่อาศัยอยู่ในทรัพย์สินนั้นว่าเข้ามาอยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยสิทธิอย่างไร
การตรวจสอบสารบบทางทะเบียนเพื่อให้ทราบว่าเอกสารสิทธิที่มีการเสนอเป็นหลักประกันนั้นมีผลสมบูรณ์และยังไม่ได้ถูกเพิกถอนไป การดำเนินการดังกล่าวนอกจากทำให้เจ้าหนี้มีโอกาสเห็นถึงความเหมาะสมของมูลค่าหลักประกันเพื่อพิจารณาวงเงินสินเชื่อที่จะอนุมัติแล้ว
ยังเพิ่มความมั่นใจในความมั่นคงของหลักประกันที่จะรับจำนองอีกด้วย
ซึ่งการดำเนินการในส่วนนี้ถือว่ามีค่าใช้จ่าย และเจ้าหนี้ส่วนมากก็จะผลักภาระให้แก่ลูกหนี้นั้นเอง
๒.๒
ในกรณีที่มีการบังคับจำนองแล้วไม่เพียงพอชำระหนี้ทั้งหมด ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่
ถึงแม้ว่าเจ้าหนี้ผู้รับจำนองมีสิทธิเลือกที่จะบังคับจำนองหรือเลือกบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้อย่างหนี้สามัญก็ได้ ดังที่ได้อธิบายไว้ในข้อ ๑.๘ ข้างต้น
แต่หากลองพิจารณาความเป็นจริงแล้วเหตุผลหลักที่ลูกหนี้ต้องขอสินเชื่อและต้องยอมเอาทรัพย์สินของตนมาจำนองเป็นหลักประกันก็เพราะลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะนำไปใช้แลกเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อใช้ตามวัตถุประสงค์ของตนหรือลูกหนี้อาจจะมีเจ้าหนี้รายอื่นอยู่อีกก็ได้ ดังนั้นการจำนองจึงเป็นหลักประกันที่เจ้าหนี้ให้ความเชื่อถือ และโอกาสที่เจ้าหนี้จะบังคับ ให้ลูกหนี้ชำระหนี้อย่างหนี้สามัญนั้น
มีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับชำระหนี้มากกว่าการบังคับจำนอง
แต่การบังคับจำนองนั้นก็ยังมีอุปสรรคสำคัญ เพราะกฎหมายบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า ถ้าบังคับจำนองแล้วได้เงินไม่เพียงพอ ลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่
เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิไปบังคับเอาทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้เพื่อนำมาชำระหนี้ได้อีก
อย่างไรก็ดี
ข้อจำกัดในส่วนนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาในทางปฏิบัติ
เพราะถือว่าหลักกฎหมายในเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น
เจ้าหนี้มักกำหนดข้อสัญญา
ในสัญญาจำนองให้ยกเว้นหลักกฎหมายในเรื่องนี้ โดยระบุข้อความในทำนองว่า
หากบังคับจำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทั้งหมด
ลูกหนี้ตกลงยอมรับผิดชำระหนี้ในส่วนที่ยังขาดอยู่จนครบถ้วน
คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๒๖๐/๒๕๕๐
วินิจฉัยว่า มาตรา ๗๓๓
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เป็นบทบัญญัติสันนิษฐานถึงเจตนาของคู่กรณีโดยเฉพาะ
และมิได้เกี่ยวกับศีลธรรมตามที่นิยมกันในหมู่ชนทั่วไปหรือธรรมเนียมประเพณีของสังคม
จึงไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โจทก์อาจตกลงกับจำเลยเป็นประการอื่นพิเศษนอกเหนือจากที่มาตรา ๗๓๓
บัญญัติไว้ได้
ด้วยเหตุผลดังที่ได้อธิบายไว้ในบทความนี้
เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะเห็นประเด็นที่ทำให้การจำนองด้วยอสังหาริมทรัพย์จัดเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดในสายตาของเจ้าหนี้ และเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังที่ทำให้ลูกหนี้ที่มีจำนองเป็นประกันมีโอกาสได้อนุมัติสินเชื่อจากเจ้าหนี้ได้ง่ายกว่าหลักประกันอย่างอื่น
ถ้าทรัพย์ที่จำนอง ถูกขายทอดตลาดโดยติดจำนอง โจทก์จะยังฟ้องคำเนินคดี กับทั้ง ลูกหนี้ผู้จำนองเดิม และ ผู้ซื้อทรัพย์จากการขาย ได้หรือไม่ ขอบคุณครับ
ตอบลบ