คำถาม ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาไปแล้ว
หากมายื่นคำร้องอีกโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคำร้องฉบับแรก จะต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3981/2555 เมื่อวันที่ 19
พฤษภาคม 2554 โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะ เวลาฎีกามีกำหนด 1 เดือน โดยอ้างว่า
โจทก์ไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
5 เพราะโจทก์ไม่ได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
5 ของศาลชั้นต้นและไม่ได้มีการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาให้ทนายโจทก์ จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการส่งหมายนัดให้คู่ความ กรณีเป็นพฤติการณ์พิเศษและมีเหตุสุดวิสัย ศาลชั้นต้นยกคำร้อง เท่ากับศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาของโจทก์ไปแล้ว การที่โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 23 พฤษภาคม
2554 ขอขยายระยะเวลาฎีกา โดยอ้างเหตุอย่างเดียวกันกับคำร้องฉบับแรก
จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว
ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 144 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15
คำถาม โจทก์ขาดนัดพิจารณา
ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ โจทก์มีสิทธิขอพิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2332/2555 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 201 เดิม บัญญัติกรณีที่โจทก์ขาดนัดพิจารณาให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียหายจากสารบบความและห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่งเช่นว่านี้หรือมีคำขอให้พิจารณาคดีนั้นใหม่แตกต่างจากมาตรา
203 ที่บังคับใช้ในปัจจุบันที่บัญญัติห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีเพียงประการเดียว
โดยไม่มีบทบัญญัติมาตราใดที่ห้ามมิให้โจทก์มีคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ แต่การขอพิจารณาคดีใหม่ได้จะต้องมีการพิจารณาคดีฝ่ายเดียวเป็นสำคัญ เมื่อโจทก์ไม่มาศาล
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
จึงไม่มีการพิจารณาคดีฝ่ายเดียวที่จะทำให้โจทก์มีสิทธิขอพิจารณาคดีใหม่ได้
โจทก์มีสิทธิเพียงเสนอคำฟ้องใหม่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความตามมาตรา 203
คำถาม ผู้ขายโทรศัพท์มาหาผู้ซื้อเพื่อเสนอขายสินค้า
ผู้ซื้อตอบตกลงจะรับซื้อหากผู้ซื้อนัดผู้ขายให้ส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อในอีกสถานที่หนึ่ง
จะถือว่ามูลคดีเกิดขึ้นที่ใด
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 12978/2555 จำเลยซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่อำเภอเมืองพิษณุโลก
จังหวัดพิษณุโลก
โทรศัพท์มาหาโจทก์ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดชัยนาทเพื่อเสนอขายสมุดคู่มือจดทะเบียนรถตามฟ้อง และโจทก์ตอบตกลงว่าจะรับซื้อสมุดคู่มือจดทะเบียนรถจากจำเลยไว้ มูลคดีจึงเกิดที่ภูมิลำเนาของจำเลยซึ่งเป็นสถานที่ที่คำสนองรับซื้อของโจทก์ไปถึงจำเลย
อันอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดพิษณุโลก โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดพิษณุโลก
ซึ่งเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลและมูลคดีเกิดในเขตศาล
แม้โจทก์นัดจำเลยให้ส่งมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถให้แก่โจทก์ที่อำเภออินทร์บุรี
จังหวัดสิงห์บุรี ก็มิใช่สถานที่ที่ต้นเหตุพิพาทอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิต่อโจทก์เกิดขึ้น หาทำให้มูลคดีซึ่งเกิดขึ้นที่จังหวัดพิษณุโลกอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยเปลี่ยนแปลงไปไม่
โจทก์จึงไม่มีอำนาจเสนอคำฟ้องต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรี
คำถาม ผู้พิพากษาที่ไม่ได้ร่วมนั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นด้วย
จะมีอำนาจร่วมลงลายมือชื่อ ทำคำพิพากษากับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 17012/2555 ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโดยสืบพยานโจทก์รวม
5 นัด คือเมื่อวันที่ 24,25,26,30 พฤศจิกายน 2547
และวันที่ 22 มีนาคม 2548 กับสืบพยานจำเลย 1 นัด คือ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2548 ในการสืบพยานโจทก์และจำเลยแต่ละนัดมี
ต. ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนร่วมนั่งพิจารณาคดีทุกนัด โดยไม่ปรากฏว่า
ส. ได้ร่วมนั่งพิจารณาคดีด้วย ส. จึงไม่มีอำนาจทำคำพิพากษาร่วมกับ ต. กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา
29 และ 30 คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ ส.
ร่วมลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาด้วยจึงไม่ชอบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบเช่นกัน
คำถาม คดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท
อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 22056/2555 โจทก์ทั้งสองขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328 โดยบรรยายฟ้องรวมกันมา
เป็นกรณีกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
ด้วยก็ตาม แต่หากพิจารณาได้ความตามฟ้อง ศาลต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 328 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
90 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท
เกินอำนาจของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้
เมื่อศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้แล้ว
จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 มาใช้บังคับ
คำถาม คดีอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกแต่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรม ดังนี้
จำเลยจะอุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 8462/2555
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 358
แยกกระทงกับความผิดฐานอื่นลดมาตราส่วนโทษแล้วระวางโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 เดือน
เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นแล้ว เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยที่ 1 ไปฝึกอบรมมีกำหนด
9 เดือน ตาม
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 104
(2) ถือเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแทนการลงโทษอาญาแก่จำเลย จึงไม่เป็นการลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา
18 อันจะเข้ากรณียกเว้นที่จะมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 193 ทวิ การที่จำเลยที่ 1
อุทธรณ์ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตตาม ป.วิ.อ.มาตรา 193 ตรี การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์และศาลอุทธรณ์ภาค
4 รับวินิจฉัยมานั้น จึงเป็นการไม่ชอบ
คำถาม คดีอาญาโจทก์และจำเลยแถลงยอมรับคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทุกปากที่เบิกความไว้ในคดีอื่นโดยโจทก์ไม่ติดใจนำพยานดังกล่าวเข้าสืบ
ศาลจะนำมารับฟังได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1563/2555 ในคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบพยานหลักฐานให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องจริงหรือไม่นั้น
เมื่อพิจารณาบันทึกคำเบิกความของผู้เสียหาย
ซึ่งเป็นประจักษ์พยานได้ความทำนองเดียวกันว่าเห็นเหตุการณ์ขณะที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับผู้ตายจดจำได้ว่าจำเลยเป็นคนรายที่ขับรถจักรยานยนต์
และได้ชี้จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 279/2547 ของศาลชั้นต้นด้วย
แต่ก็เป็นการเบิกความในคดีอื่น ไม่ได้กระทำต่อหน้าจำเลยในคดีนี้แม้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 226/5
ศาลอาจรับฟังคำเบิกความของพยานที่เบิกความไว้ในคดีอื่นประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้
แต่การที่โจทก์และจำเลยแถลงยอมรับคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทุกปาก แล้วโจทก์ไม่ติดใจนำประจักษ์พยานดังกล่าวเข้าสืบ
โดยไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าเหตุใดประจักษ์พยานโจทก์แต่ละปาก จึงไม่สามารถมาเบิกความได้
จึงไม่ใช่กรณีมีเหตุจำเป็นหรือเหตุสมควรที่ศาลอาจรับฟังบันทึกคำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งหาปากในคดีอาญาหมายเลขดำที่
279/2547 ของศาลชั้นต้น ประกอบพยานหลักฐานอื่นในชั้นพิจารณาได้
คำถาม พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกและให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหาย
ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอีกได้หรือไม่
และผู้เสียหายจะต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือไม่
คำตอบ
มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3664/2555 คดีนี้พนักงานอัยการมีคำขอให้จำเลยคืนเงิน
42,500 บาท แก่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ.มาตรา 43 แล้ว
ต่อมาโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยคืนเงิน 42,500
บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมตาม
ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 อีก ซึ่งตามมาตรา 44/1
วรรคสาม บัญญัติว่า “ ...ในกรณีที่พนักงานอัยการได้ดำเนินการตามความในมาตรา 43 แล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่งเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินอีกไม่ได้" ดังนี้ โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยคืนเงิน
43,500 บาท อีกไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับคำร้องของโจทก์ร่วมในส่วนนี้จึงไม่ชอบ
อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยของเงิน 42,500 บาท ไม่ใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิด
แต่เป็นค่าเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย
เพราะฉะนั้นพนักงานอัยการจะมีคำขอเรียกค่าดอกเบี้ยแทนโจทก์ร่วมไม่ได้ โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยชำระดอกเบี้ยของต้นเงิน
42,500 บาท ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 วรรคหนึ่งได้
ซึ่งตามมาตรา 253 วรรคหนึ่ง มิให้เรียกค่าธรรมเนียมจากโจทก์ร่วม เว้นแต่ในกรณีที่ศาลเห็นว่าผู้เสียหายเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนสูงเกินสมควร
หรือดำเนินคดีโดยไม่สุจริต ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้เสียหายชำระค่าธรรมเนียมทั้งหมดหรือบางส่วนได้
ดังนี้ การที่โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ
7.5 ต่อปี แก่โจทก์ร่วมด้วยนั้นจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นการเรียกค่าสินไหมทดแทนที่สูงเกินสมควรหรือใช้สิทธิไม่สุจริต
โจทก์ร่วมจึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสำหรับการขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนดอกเบี้ยดังกล่าว
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น