ผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลง
ประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
“การตั้งผู้แทนเฉพาะคดีก็เพื่อดำเนินคดีแทนผู้เสียหายที่เป็นผู้เยาว์หรือผู้วิกลจริตที่ไม่มีผู้ดำเนินคดีแทน
เมื่อผู้เสียหายถึงแก่ความตายไปก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดี
ย่อมไม่มีเหตุที่จะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อมาดำเนินคดีแทนตาม ป.วิ.อ มาตรา ๖ อีกต่อไป
ทั้งกรณีไม่ใช่ผู้เสียหายถึงแก่ความตายหลังจากที่ศาลตั้งโจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีและได้ยื่นฟ้องไว้แล้วตาม
ป.วิ.อ มาตรา ๒๙ วรรคสอง...”
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา
๒๙ บัญญัติว่า
“เมื่อผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้วตายลง ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน
สามีหรือภริยาจะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปก็ได้
ถ้าผู้เสียหายที่ตายนั้นเป็นผู้เยาว์
ผู้วิกลจริต
หรือผู้แทนเฉพาะคดีได้ยื่นฟ้องแทนไว้แล้วผู้ฟ้องแทนนั้นจะว่าคดีต่อไปก็ได้”
๑.
กรณีผู้เสียหายตายก่อนยื่นฟ้อง
ในคดีอาญานั้น อำนาจฟ้องคดีของผู้เสียหายถือเป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่อาจมีการโอนหรือตกทอดทางมรดกกันได้
ในคดีอาญาจึงไม่มีการรับมรดกความเรื่องอำนาจฟ้อง ถ้าผู้เสียหายถึงแก่ความตายไปก่อนที่จะยื่นฟ้องผู้กระทำความผิด
สิทธิฟ้องคดีของผู้เสียหายเป็นอันยุติจะไม่มีการรับมรดกความ ตัวอย่างเช่น
จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานเกี่ยวกับโฉนดที่ดินของมารดาโจทก์ในขณะที่มารดาโจทก์ยังมีชีวิตอยู่ มารดาโจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย เมื่อมารดาโจทก์ตาย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔, ๕, และ
๖
มิได้ให้อำนาจโจทก์ฟ้องคดีแทนมารดา
แม้โจทก์จะเป็นบุตรและเป็นทายาทผู้รับมรดกที่ดินตามโฉนดนั้นและเพิ่งทราบการกระทำของจำเลยหลังจากมารดาโจทก์ตาย
แต่สิทธิฟ้องคดีอาญาเป็นเรื่องเฉพาะตัวไม่ตกทอดมายังโจทก์ โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาแจ้งความเท็จ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๗๘/๒๕๑๕)
จำเลยกระทำความผิดต่อ ช.
เจ้ามรดกในขณะที่ ช. ยังมีชีวิตอยู่ ช. จึงเป็นผู้เสียหาย เมื่อ
ช.ถึงแก่ความตายโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทโดยธรรมของ ช. ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทน ช. เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
๔,๕,๖ ไม่ได้ให้อำนาจโจทก์ไว้
ทั้งสิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ตกทอดมายังโจทก์
แม้จะพิจารณาได้ความตามฟ้องว่าทรัพย์มรดกของ ช. ตกได้แก่โจทก์ก็ตาม
แต่ทรัพย์มรดกนั้นก็เพิ่งตกมาเป็นของโจทก์ภายหลังวันที่จำเลยกระทำความผิดโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย พิพากษายกฟ้อง
(คำพิพากษาฎีกาที่๒๒๑๙/๒๕๒๑)
หมายเหตุ การฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ มาตรา ๔, ๕ , ๖
ไม่ได้ให้อำนาจผู้จัดการมรดกฟ้องแทนผู้เสียหาย
ทายาทและผู้จัดการมรดกฟ้องคดีอาญาฐานปลอมเอกสาร ยักยอกและฉ้อโกงทรัพย์ของผู้ตายที่ความผิดเกิดก่อนตายไม่ได้ สิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ตกทอดมายังทายาท
จำเลยร่วมกับ ด.
ใช้หรืออ้างพินัยกรรมของ ต.
ซึ่งเป็นพินัยกรรมปลอมรับโอนมรดกที่ดินมาเป็นของ ด. ขณะเกิดเหตุ
บ. บุตร ต. ยังมีชีวิตอยู่ บ. จึงเป็นผู้เสียหายเมื่อ บ. ตาย ป.วิ.อ.
มาตรา ๔, ๕, ๖
ไม่ได้ให้อำนาจโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับพินัยกรรมของ บ. ที่จะฟ้องคดีแทน บ.
ได้
โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายในข้อหาใช้หรืออ้างเอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา
๒๖๘
และในข้อหาแจ้งความเท็จตามมาตรา
๑๓๗ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง (คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๓๙๕/๒๕๒๕)
จำเลยทำผิดฐานลักทรัพย์
ปลอมหนังสือ
และทำพยานหลักฐานเท็จ
จำเลยทำก่อนผู้เสียหายถึงแก่กรรม
และผู้เสียหายไม่ดำเนินการต่อไป
เมื่อผู้เสียหายถึงแก่กรรม
ทายาทและผู้จัดการมรดกก็มาฟ้องคดีอาญา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ไม่มีอำนาจฟ้อง
เพราะโจทก์ก็ไม่ได้ดำเนินคดีไว้ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ไว้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙/๒๔๗๒)
ข้อยกเว้น
๑.๑
ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา
๕(๒) บัญญัติให้ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน
สามีหรือภริยาสามารถจัดแทนได้
๑.๒ กรณีความผิดฐานหมิ่นประมาท ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๓๓๓ บัญญัติว่า “ถ้าผู้เสียหายในความผิดฐานหมิ่นประมาทตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดามารดา
คู่สมรสหรือบุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย”
กรณีผู้เสียหายเพียงแต่ร้องทุกข์ ยังไม่ได้ฟ้องคดี แล้วตายลงย่อมไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๒๙
คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๑๖๒/๒๕๔๗
โจทก์ฟ้องว่า
โจทก์เป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของนายวาด
สาตรร้าย เมื่ระหว่างวันที่ ๒๑
มกราคม ๒๕๓๖ ถึงวันที่
๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๑
วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด
จำเลยโดยทุจริตหลอกหลวงนายวาด
สาตรร้าย
ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งจำเลยหลอกหลวงนายวาดว่าจะถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของนายวาดที่ธนาคารต่างๆเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านและทำบุญเพียงเล็กน้อยเป็นเงินไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท ขอให้นายวาดลงชื่อในใบถอนเงินซึ่งเป็นความเท็จ
ความจริงจำเลยประสงค์จะให้นายวาดลงชื่อในใบถอนเงินแล้วจำเลยจะนำไปกรอกตัวเลขจำนวนเงินที่สูงและเบิกถอนเงินสดไปเป็นประโยชน์ของจำเลย นายวาดหลงเชื่อจำเลยจึงลงชื่อในใบถอนเงินที่ไม่ได้กรอกตัวเลขไปหลายครั้ง แล้วจำเลยนำใบถอนเงินนั้นไปกรอกจำนวนเงินที่สูงกว่าที่แจ้งแก่นายวาดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๕,๖๓๐,๐๐๐ บาท ถึงวันที่ ๕
พฤศจิกายน ๒๕๕๑ นายวาดทราบการกระทำผิดของจำเลย วันที่
๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๑
นายวาดจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนต่อมานายวาดถึงแก่ความตายโจทก์จึงฟ้องคดีนี้ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า
โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
๒(๔) บัญญัติว่า
ผู้เสียหายหมายถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๔, ๕,๖ มาตรา
๕(๒) บัญญัติว่า
ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา
จัดการแทนผู้เสียหายเฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ มาตรา
๒๘ บัญญัติว่า บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล(๑)
พนักงานอัยการ (๒)
ผู้เสียหาย มาตรา ๒๙
บัญญัติว่า
เมื่อผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้วตายลงผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน
สามีหรือภริยาจะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปก็ได้ เห็นว่า
นายวาด
สาตรร้ายบิดาโจทก์เป็นผู้เสียหายโดยตรง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๒(๔)นายวาดตายโดยไม่ได้ถูกทำร้ายถึงตาย ตามมาตรา
๕(๒)
โจทก์ซึ่งเป็นผู้สืบสันดานจึงไม่มีอำนาจจัดการแทนนายวาดฟ้องจำเลยได้
ปรากฎว่านายวาดเพียงแต่ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจเท่านั้นยังไม่ได้ฟ้องคดี จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๒๙
ที่โจทก์จะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปได้
โจทก์ไม่ได้เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
๒(๔)โจทก์ไม่ได้เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
๒(๔) โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อนายวาดร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยเกี่ยวด้วยทรัพย์ของนายวาด ดังนั้น
เมื่อนายวาดตายสิทธิที่นายวาดได้ร้องทุกข์ไว้ต่อเจ้าพนักงานตำรวจจึงตกเป็นมรดกแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา ๑๕๙๙ และมาตรา
๑๖๐๐ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของนายวาดจึงมีอำนาจสวมสิทธิที่นายวาดร้องทุกข์ไว้ดำเนินคดีแก่จำเลยต่อไปได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย เห็นว่า
การฟ้องคดีต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
๒(๔) เสียแล้ว
โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน.
๒.
กรณีผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลง (หมายความรวมถึงขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย)
๒.๑ คำว่า “ผู้เสียหาย”
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๒๙หมายความถึงผู้เสียหายที่แท้จริงหรือผู้เสียหายโดยตรงเท่านั้น
มิใช่ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลง
บิดาฟ้องคดีซึ่งบุตรถูกฆ่าตาย
ระหว่างพิจารณาบิดาตาย
บุตรของบิดาอีกคนหนึ่งเจ้าดำเนินคดีต่อไปไม่ได้ ไม่เข้า
ป.วิ.อ
มาตรา ๒๙
ผู้เสียหายในคดีนี้คือ
นางบุญเหลือ ธนูศร ซึ่งถูกทำร้ายถึงตาย ส่วนนายตือ
แซ่เตียหรือแซ่เซีย
โจทก์ซึ่งเป็นบิดาของนายบุญเหลือ
ธนูศร ผู้ตาย ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ นายตือแซ่เตียหรือแซ่เซีย โจทก์จึงเข้ามาจัดการแทนนางบุญเหลือ ธนูศร
ผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
๕(๒) ดังนั้น
การที่นายตือ
แซ่เตียหรือแซ่เซีย
ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของนายตือแซ่เตียหรือแซ่เซียโจทก์ หามีสิทธิดำเนินคดีต่างนายตือ แซ่เตียหรือแซ่เซีย ตายลงระหว่างพิจารณานายโกวิทย์ เชื่อพาณิชย์
หรือแซ่เตียหรือแซ่เซีย
ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของนายตือแซ่เตียหรือแซ่เซีย โจทก์
หามีสิทธิดำเนินคดีต่างนายตือ
แซ่เตียหรือแซ่เซีย โจทก์ผู้ตายต่อไปตามความหมายของบทบัญญัติ มาตรา
๒๙
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่
เพราะนายตือ แซ่เตียหรือแซ่เซีย โจทก์
เป็นผู้จัดการแทนนางบุญเหลือ ธนูศร ผู้เสียหายซึ่งถูกทำร้ายถึงตายเท่านั้น(คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๓๓๑/๒๕๒๑ ต่อมามีฎีกาที่ ๕๗๘/๒๕๓๕
วินิจฉัยเช่นกัน)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประทวลกฎหมายอาญา มาตรา
๒๘๘
โจทก์ร่วมเป็นบิดาของผู้ตาย
โจทก์ร่วมจึงเข้าจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๕(๒)
เมื่อโจทก์ร่วมถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณา
ทายาทของโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วมผู้ถึงแก่ความตายต่อไป ตามความหมายของบทบัญญัติมาตรา ๒๙
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ที่ศาลชั้นต้นอนุญาติให้ ส. ทายาทของโจทก์ร่วมเข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วม จึงเป็นการไม่ชอบ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๘๗/๒๕๔๓)
โจทก์ร่วมที่ ๒ เป็นบิดาเด็กหญิง ร.
มีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ก็ได้โดยฐานเป็นผู้จัดการแทนเด็กหญิง ร.
ผู้ตายตาม ป.วิ.อ มาตรา
๕(๒) ต่อมาระหว่างพิจารณาของศาลโจทก์ร่วมที่ ๒
ถึงแก่ความตาย ส. ภริยาโจทก์ร่วมที่ ๒
หามีสิทธิเข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วมที่
๒ ตามความหมายแห่ง ป.วิ.อ
มาตรา ๒๙ ไม่
เพราะโจทก์ร่วมที่ ๒ เป็นเพียงผู้จัดการแทนเด็กหญิง ร.
ผู้ตายเท่านั้นโจทก์ร่วมที่ ๒ ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยตรง ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ส.เข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วมที่ ๒
จึงเป็นการไม่ชอบ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๘๘๔/๒๕๕๐)
จ.
ยื่นคำร้องอ้างว่าเป็นสามีของโจทก์ร่วมขอเข้ารับมรดกความของโจทก์ร่วมซึ่งถึงแก่ความตาย เท่ากับ
จ.
ขอเข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วม
เมื่อโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีในฐานะผู้จัดการแทน ส. ผู้ตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
๕(๒) จ.
ซึ่งเป็นสามีของโจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิเข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วมตามมาตรา ๒๙
เพราะโจทก์ร่วมเป็นเพียงผู้จัดการแทน
ส. ไม่ใช่ผู้เสียหายในคดี (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๐๓/๒๕๕๑)
๒.๒
การดำเนินกระบวนพิจารณาบางอย่างในศาล
เช่น
การยื่นคำร้องขอรับของกลางคืนการร้องขอให้ปล่อยตามมาตรา ๙๐
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ถ้าผู้ร้องตายลงบุคคลตามที่ระบุไว้ใน
ป.วิ.อ มาตรา ๒๙
เข้าดำเนินคดีต่อไปได้
ผู้ร้องถูกตำรวจควบคุม
ศาลยกคำร้องที่ขอให้ปล่อย ตาม ป.วิ.อ มาตรา
๙๐
ระหว่างอุทธรณ์ตำรวจปล่อยผู้ร้องไปแล้ว
ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ว่าการคุมขังไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้คัดค้านฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ระหว่างฎีกาผู้ร้องตาย ผู้สืบสันดานเข้าดำเนินคดีต่อไปตาม ป.วิ.อ
มาตรา ๒๙ ได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๓๙๒/๒๕๒๒ อ้างฎีกาที่ ๑๘๕๓/๒๕๐๖)
ผู้ร้องขอรับของกลางคืนถึงแก่ความตาย
ภริยาผู้ตายย่อมมีสิทธิเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปได้ตาม ป.วิ.อ
มาตรา ๒๙ ในเมื่อคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
แม้จะขอเข้ามาดำเนินคดีต่างผู้ตายเกินหนึ่งปี เพราะบทกฎหมายดังกล่าวมิได้กำหนดระยะเวลาไว้ (คำสั่งคำร้องของศาลฏีกาที่ ๑๕๙๕/๒๕๒๘)
๒.๓
ความหมายของคำว่าผู้บุพการี
ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา
ผู้บุพการี หมายถึง ผู้สืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไป เช่น
บิดา มารดา ปู่
ย่า ตา ยาย
ผู้สืบสันดาน หมายถึง ผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงมา เช่น
ลูก หลานเหลน
คำว่า
ผู้บุพการีและผู้สืบสันดาน
ถือตามความเป็นจริง
ผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลง
ผู้สืบสันดานความเป็นจริงของผู้เสียหายซึ่งแม้จะไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายก็มีสิทธิดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปได้ตาม ป.วิ.อ
มาตรา ๒๙
วรรคแรกและเมื่อผู้สืบสันดานของผู้เสียหายยังเป็นผู้เยาว์ มารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ก็ดำเนินคดีแทนผู้เยาว์ได้ตาม ป.วิ.อ
มาตรา ๕๖ ประกอบด้วย
ป.วิ.อ มาตรา ๑๕
โดยมารดาไม่ต้องขออนุญาตเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เยาว์ต่อศาลก่อน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๑๑๙/๒๕๓๐)และดูคำพิพากษาศาลฏีกาที่ ๓๐๓/๒๔๙๔, ๑๕๒๗/๒๕๒๗,๑๓๘๔/๒๕๑๖)
คำว่า สามีภริยา หมายความถึง
สามีภริยาที่จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย
(เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๓๓๕/๒๔๙๔,
๑๙๕๖/๒๔๙๗, ๑๐๕๖/๒๕๐๓)
๒.๔
บุคคลภายนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ใน
ป.วิ.อ มาตรา ๒๙
ไม่มีอำนาจเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตาย
ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้วตายลง
แม้ผู้ร้องจะเป็นพี่ชายของโจทก์ร่วมผู้ตายซึ่งเกิดจากบิดามารดาเดียวกัน และเป็นผู้จัดการมรดกของโจทก์ร่วมผู้ตายด้วยก็ตาม แต่ผู้ร้องมิใช่บุคคลตาม ป.วิ.อ มาตรา ๒๙
ที่จะขอเข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วมผู้ตายโดยอนุโลมต่อไปได้ ดังนั้นผู้ร้องจึงหามีสิทธิถอนคำร้องทุกข์ หรือมีคำขออื่นใดแทนโจทก์ร่วมผู้ตายได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๔๒/๒๕๓๓)
ผู้ร้องเป็นบุตรของน้องโจทก์ร่วมที่
๖
จึงมิใช่ผู้สืบสันดานมีสิทธิดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปได้ ๑๓/๒๕๓๔)
ผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลง
ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน
สามีหรือภริยาจะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปได้ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
๒๙
ซึ่งบัญญัติเรื่องการเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายไว้โดยชัดแจ้งแล้ว จึงนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
๔๒ และมาตรา ๔๓
มาใช้บังคับโดยอนุโลมไม่ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่
๑๓๐๓/๒๕๕๑)
๒.๕ การรับมรดกความอาจต้องห้ามถ้าเป็นคดีอุทลุม
บิดาฟ้องมารดาเป็นจำเลยหาว่าร้องเรียนเท็จ แจ้งความเท็จ
ระหว่างพิจารณาบิดาตายบุตรจึงร้องขอรับมรดกความแทนบิดา ดังนี้
ก็นับได้ว่าอยู่ในฐานะเป็นผู้ฟ้องบุพการีของตน ต้องด้วยข้อห้ามตาม ป.พ.พ มาตรา ๑๕๖๒ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๕๑/๒๔๙๔) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๖๒บัญญัติว่า “ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้
แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีว่ากล่าวก็ได้”
๒.๖ การข้อเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายหรือไม่ “เป็นสิทธิ”
เช็คพิพาทถึงกำหนดภายหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตาย
สิทธิตามเช็คพิพาทจึงเป็นมรดกได้แก่โจทก์ผู้ทรงเช็คซึ่งเป็นทายาทผู้ตายทันทีตาม ป.พ.พ มาตรา ๑๕๙๙
โจทก์จึงเป็นผู้ทรงสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายและเป็นผู้เสียหายโดยตรงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้วตายลง โจทก์ที่
๑ ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ที่ ๓ ผู้ตาย ไม่ประสงค์จำดำเนินคดีแทน ก็เป็นสิทธิของโจทก์ที่ ๑
ที่จะร้องต่อศาลขอให้จำหน่ายคดีโจทก์ที่
๓ ได้ เมื่อจำเลยไม่คัดค้าน
คำสั่งศาลชั้นต้นที่จำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ที่ ๓
จึงชอบแล้ว
สิทธิตามเช็คพิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในเช็คพิพาท
โจทก์ทั้งสามคนใดคนหนึ่งสามารถที่จะฟ้องร้องให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยได้โดยลำพัง
โดยไม่จำต้องใช้สิทธิร่วมกัน ทั้งการฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสามเป็นการใช้สิทธิในฐานะผู้เสียหาย มิใช่สิทธิในฐานะผู้จัดการมรดก การที่ศาลจำหน่ายคดีของโจทก์ที่ ๓ เนื่องจากโจทก์ที่ ๓
ถึงแก่ความตายก็หาทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ที่ ๑
และที่ ๒ ต้องระงับไปไม่ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๑๖๙/๒๕๔๓)
๒.๗
การอนุญาติให้ดำเนินคดีต่างผู้ตายหรือไม่
“เป็นดุลพินิจของศาล”
โจทก์ร่วมถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณา ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายปรากฏว่าผู้ร้องเป็นภริยาจำเลยอาจทำให้พยานหลักฐานโจทก์เสียหายได้ จึงไม่เป็นการสมควรที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าดำเนินคดีต่างโจทก์ร่วมผู้ตาย (คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๑๓๙/๒๕๓๙)
ระยะเวลาเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตาย
ศาลฎีกาสั่งว่า “พิเคราะห์แล้วจากคำแถลงรับของโจทก์ประกอบภาพถ่ายมรณบัตรและใบสำคัญการสมรส เชื่อว่า
นายอุดม เปี้ยจีโน ผู้ร้องขอรับของกลางคืนถึงแก่ความตายจริงนางจันทร์ฟอง เปี้ยจีโน
ย่อมมีสิทธิขอเข้าดำเนินคดีต่างนายอุดม
เปี้ยจีโน
ผู้ตายต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา๒๙
แม้จะเป็นการขอเข้ามาดำเนินคดีต่างผู้ตายเกินหนึ่งปี นับแต่วันนายอุดม เปี้ยจีโน
ตายก็ตาม
ในเมื่อคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
เพราะบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ว่าต้องยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายภายในกำหนดเวลาใด ดังประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
๔๒ จึงอนุญาตให้นางจันทร์ฟอง เปี้ยจีโน
เข้าดำเนินคดีต่าง นายอุดม เปี้ยจีโน
ผู้ตายต่อไป”(คำสั่งคำร้องที่ ๑๕๙๕/๒๕๒๘) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๙
ไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ว่าต้องยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายภายในกำหนดเวลาใด ดังประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๔๒
๒.๘ กรณีไม่มีผู้ดำเนินคดีแทนผู้เสียหายที่ยื่นฟ้องแล้วตายลง
คดีอาญาแผ่นดิน
ที่ราษฎรเป็นโจทก์ จำเลยฎีกา
แต่ส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ไม่ได้เพราะโจทก์ถึงแก่กรรมนั้น ไม่เป็นเหตุขัดข้องแก่การดำเนินคดีต่อไปได้ ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องร้องแทนแผ่นดินนั้น ฉะนั้น
ศาลฎีกาจึงทำการพิจารณาพิพากษาต่อไปได้(คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๔๔/๒๕๐๔)
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ มาตรา ๑๗๗,๑๘๐,๑๘๑ จำคุกตามมาตรา ๑๘๑(๒) มาตรา ๗๘
กำหนด ๖ ปี
โจทก์ จำเลยอุทธรณ์
แต่โจทก์ตายก่อนศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยไม่มีผู้ใดเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา ๑๗๗, ๑๘๑(๒), ๗๘ จำคุก ๓
ปีจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ตายแล้วไม่มีผู้ดำเนินคดีแทน ศาลจะดำเนินคดีต่อไปไม่ได้ ชอบที่จะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยนั้นเป็นความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา ภาค
๒ ลักษณะ ๓
อันเป็นความผิดอาญาแผ่นดินมิใช่ความผิดอันยอมความได้
แม้โจทก์มรณะก็ไม่เป็นเหตุขัดข้องแก่การดำเนินคดีต่อไป ถือได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องร้องแทนแผ่นดิน ศาลจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาต่อไปได้”(คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๑๘/๒๕๒๐)(อ้างฎีกาที่ ๑๒๒๔/๒๔๘๖)
คดีนี้โจทก์เป็นราษฎรฟ้องคดีความผิดอันยอมความได้
โจทก์ตายในชั้นฎีกาภายหลังจากที่ศาลฎีกาส่งคำพิพากษาไปให้ศาลชั้นต้นอ่าน (แต่ยังไม่ทันได้อ่าน) ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
คดีนี้แม้จะเป็นความผิดอันยอมความได้และโจทก์ได้ตายแล้วก็ตาม
แต่หาได้มีกฎหมายบัญญัติว่าในคดีอาญานั้นเมื่อโจทก์ตายแล้วให้คดีระงับไปไม่
คงมีแต่เรื่องที่จำเลยตายและในเรื่องที่โจทก์ตาย ใครบ้างที่จะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปได้นั้นก็มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๒๙ เท่านั้นอย่างไรก็ดี เมื่อคดีมาถึงศาลฎีกาแล้วและโจทก์ตาย
ถือได้ว่าได้ดำเนินคดีมาครบถ้วนบริบูรณ์แล้วศาลฎีกาย่อมดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ต่อไปได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๗/๒๕๐๖)
๒.๙
ถ้าผู้เสียหายที่ตายนั้นเป็นผู้เยาว์
ผู้วิกลจริตหรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล
หรือผู้แทนเฉพาะคดีได้ยื่นฟ้องแทนไว้แล้ว
ผู้ฟ้องแทนนั้นจะว่าคดีนั้นต่อไปก็ได้
กรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตายไปก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งตั้งผู้แทนเฉพาะคดี มิใช่กรณีตาม
ป.วิ.อ. มาตรา
๒๙ วรรคสอง
การตั้งผู้แทนเฉพาะคดีก็เพื่อดำเนินคดีแทนผู้เสียหายที่เป็นผู้เยาว์หรือผู้วิกลจริตที่ไม่มีผู้ดำเนินคดีแทน
เมื่อผู้เสียหายถึงแก่ความตายไปก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดี ย่อมไม่มีเหตุที่จะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อมาดำเนินคดีแทนตาม ป.วิ.อ
มาตรา ๖ อีกต่อไปทั้งกรณีไม่ใช่ผู้เสียหายถึงแก่ความตายหลังจากที่ศาลตั้งโจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีและได้ยื่นฟ้องไว้แล้วตาม ป.วิ.อ
มาตรา ๒๙ วรรคสอง
ดังนี้
ต้องยกคำร้องของผู้ร้อง (คำพิพากษาฎีกาที่
๓๖๕/๒๕๓๒)
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ตั้งโจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีของ ต. และมีอำนาจฟ้องคดีแทน ต.
เมื่อปรากฎว่า ต.
ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นผู้วิกลจริตถึงแก่กรรมไปก่อนวันนัดไต่สวนคำร้องดังกล่าวแล้ว
ศาลก็ไม่อาจตั้งโจทก์เป็นผู้แทนเฉพาะคดีของ ต.
ได้ เพราะ ต.
ไม่ใช่ผู้วิกลจริตดังที่โจทก์กล่าวอ้างต่อไป
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๒๙ วรรคสอง
ที่บัญญัติว่าถ้าผู้เสียหายที่ตายนั้นเป็นผู้วิกลจริตซึ่งผู้แทนเฉพาะคดีได้ยื่นฟ้องแทนไว้แล้ว ผู้ฟ้องแทนนั้นจะว่าคดีต่อไปก็ได้นั้น
หมายถึงกรณีที่ศาลได้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เสียหายไว้แล้วก่อนที่ผู้เสียหายตายหาได้หมายความรวมถึงกรณีซึ่งผู้เสียหายได้ตายไปเสียก่อนที่ศาลจะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีด้วยไม่ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๖๒๕/๒๕๓๒)
การร้องขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดี ตาม
ป.วิ.อ มาตรา ๖
จะต้องปรากฎว่าโจทก์มีสภาพบุคคลเป็นผู้วิกลจริต และไม่มีผู้อนุบาล แต่ปรากฏว่าโจทก์ผู้ซึ่งผู้ร้องอ้างว่าเป็นผู้วิกลจริตและไม่มีผู้อนุบาลได้ถึงแก่ความตายระหว่างไต่สวนคำร้องขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดี
สภาพบุคคลของโจทก์จึงสิ้นสุดลงไปแล้วก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งตั้งผู้ร้องให้เป็นผู้แทนเฉพาะคดี ผู้ร้องจึงขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของโจทก์ไม่ได้ อนึ่ง
แม้ขณะที่โจทก์ถึงแก่ความตาย
ผู้ร้องในฐานะผู้ร้องขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของโจทก์ก็ได้ยื่นคำฟ้องไว้ก่อนแล้วในนามของโจทก์ แต่ในขณะที่โจทก์ถึงแก่ความตาย ศาลยังไม่ได้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของโจทก์
จะถือว่าเป็นกรณีที่โจทก์ยื่นฟ้องแล้วตายลงตาม ป.วิ.อ
มาตรา ๒๙ ไม่ได้
(คำพิพากษาฎีกาที่
๓๔๓๒/๒๕๓๖)
อธิบายความแตกต่างในแต่ละข้อเท็จจริงที่ไม่เหมือนกันได้ชัดแจ้งดี และเข้าใจง่ายครับ
ตอบลบ