บทบรรณาธิการ
คำถาม
ศาลในคดีอาญาพิพากษาว่า
พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยกระทำความผิดหรือไม่
จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ดังนี้
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่
349/2555 คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่
793/2549 ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่
จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีไว้แน่นอนแล้วว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้ศาลเห็นโดยชัดแจ้งว่าจำเลยกระทำความผิด ดังนั้น
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง
ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 47 จะบัญญัติว่า
คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง
โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดหรือไม่
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรับฟังข้อเท็จจริงขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในคำพิพากษาส่วนอาญาได้ ในคดีแพ่งจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
คำถาม คำฟ้องมิได้ระบุถึงวันที่หรือเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด
แต่ตอนท้ายของคำฟ้องบรรยายว่า
จำเลยถูกควบคุมตั้งแต่วันถูกจับตลอดมา ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายขังของศาลนี้โดยแนบบันทึกการจับกุมซึ่งระบุวันเวลากระทำความผิดไว้
จะถือว่าคำฟ้องของโจทก์สมบูรณ์หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1568/2554 ตาม
ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5) บัญญัติให้ฟ้องต้องมีการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น
ๆ พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี
แม้คำฟ้องของโจทก์คดีนี้มิได้ระบุถึงวันที่หรือเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิด
แต่ในตอนท้ายของคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่าระหว่างสอบสวนจำเลยถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันถูกจับตลอดมา ขณะนี้จำเลยต้องขังอยู่ตามหมายขังของศาลนี้ ในคดีหมายเลขดำที่
ฝ.149/2551
โดยได้แนบบันทึกการจับกุมจำเลยระบุถึงวันเวลาที่จับกุมและพฤติการณ์ในการกระทำความผิดว่า
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2551 เวลา 6.30
นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจพบต้นกัญชา 1 ต้น
สูงประมาณ 1.65 เมตร ปลูกอยู่ใกล้รั้วข้างบ้าน จำเลยยอมรับว่าเป็นของตนจริงจึงจับกุมจำเลย
ซึ่งพออนุโลมได้ว่าเป็นส่วนประกอบของคำฟ้อง
เมื่อปรากฏว่าในสำนวนคดีหมายเลขดำที่
ฝ.149/2551 ซึ่งติดอยู่ตอนหน้าของสำนวนคดีนี้นั้น ตามคำร้องของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจ ภูธรศรีวิชัยที่ขอฝากขังจำเลยในขณะเป็นผู้ต้องหาได้ระบุว่า
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2551 เวลาประมาณ 6
นาฬิกาเศษ เจ้าพนักงานตำรวจตรวจพบต้นกัญชาสด อายุประมาณ 3 เดือน สูงประมาณ 165
เซนติเมตร จำนวน 1 ต้น ปลูกอยู่บริเวณหลังบ้าน
จำเลยรับว่าเป็นผู้ปลูกและเป็นเจ้าของต้นกัญชาดังกล่าว จึงแจ้งข้อหาและจับกุมจำเลย
ซึ่งจำเลยไม่ค้านจำเลยย่อมจะเข้าใจได้ดีว่าวันที่หรือเวลาที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดคือเมื่อใด จึงให้การรับสารภาพ ดังนี้
คำฟ้องของโจทก์สมบูรณ์ ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5) แล้ว
คำถาม
คดีความผิดต่อส่วนตัวซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล ผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1852/2555
การถอนคำร้องทุกข์เป็นสิทธิของผู้เสียหาย
เมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์แล้ว สิทธิที่ผู้เสียหายเองก็ดี หรือพนักงานอัยการก็ดี ที่จะนำความผิดอันยอมความได้มาฟ้องผู้กระทำผิดย่อมเป็นอันระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39
(2) ซึ่งการขอถอนคำร้องทุกข์
ผู้เสียหายที่ 1 และโจทก์ร่วมย่อมถอนคำร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหรือต่อพนักงานอัยการหรือต่อศาลก็ได้ แม้ขณะคดีจะอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล
ก็ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดกำหนดให้ผู้เสียหายต้องถอนคำร้องทุกข์ต่อศาลเท่านั้น
เมื่อผู้เสียหายที่ 1 และโจทก์ร่วมขอถอนคำร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนโดยชอบแล้วขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล
สิทธินำคดีในความผิดอันยอมความได้มาฟ้องจำเลยย่อมเป็นอันระงับไป
คำถาม ถ้อยคำอื่น ๆ ที่ประกอบในรายละเอียดของบันทึกการจับกุม
ศาลรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 312/2555
ศาลไม่ได้รับฟังคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสามว่าได้กระทำความผิดในชั้นจับกุมมารับฟังให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสาม เพียงแต่รับฟังถ้อยคำอื่น ๆ
ที่ประกอบในรายละเอียดของบันทึกการจับกุมเกี่ยวกับการติดต่อนำเงินมาใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนของเจ้าพนักงานตำรวจเท่านั้น ซึ่งไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟัง
คำถาม โทษจำคุกไม่เกินหกเดือนที่ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจลงแก่จำเลยตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
มาตรา 25 หมายถึงโทษจำคุกแต่ละกระทง หรือทุกกระทงรวมกัน
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5868/2554
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 บัญญัติว่า “ ในศาลชั้นต้น
ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้นดังต่อไปนี้
(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา
ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้ ”
ตามบทบัญญัติดังกล่าวโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ที่ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจลงแก่จำเลยตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 25 (5)
นั้น หมายถึงโทษจำคุกแต่ละกระทงที่จะลงแก่จำเลยโดยไม่คำนึงถึงว่าเมื่อรวมโทษจำคุกทุกกระทงแล้ว
โทษจำคุกเกินกว่า 6 เดือนหรือไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ
4 เดือนจึงเป็นการลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน
6 เดือน ซึ่งชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 (5)
คำถาม ฟ้องแย้งที่อาศัยเหตุแห่งการฟ้องของโจทก์มาเป็นข้อกล่าวอ้างถือว่าเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5224/2554
แม้ ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม รับรองให้จำเลยฟ้องแย้งมาในคำให้การได้
แต่มีเงื่อนไขว่าหากฟ้องแย้งเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมก็ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก
จำเลยอาศัยเหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกหนี้เงินกู้และบังคับจำนองเป็นข้ออ้างว่าทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย
มูลกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นเรื่องที่โจทก์หาเหตุแกล้งฟ้องร้องจำเลยโดยไม่มีมูลอันเป็นเรื่องละเมิด
ไม่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมที่โจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยรับผิดตามเนื้อความในสัญญา
จำเลยชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ต่างหาก ไม่อาจขอรวมมาในคำให้การได้ ตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาฎีกาที่ 8143/2549 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาจ้างทำของ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า
จำเลยชำระค่าจ้างแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว
โจทก์นำความอันเป็นเท็จมาฟ้องทำให้จำเลยเสียหาย
ขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยอันเป็นเรื่องละเมิด
สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องและฟ้องแย้งเป็นคนละเรื่อง
คนละเหตุ ไม่เกี่ยวข้องกัน ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
คำพิพากษาฎีกาที่
465/2551 ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 4
ที่กล่าวอ้างใช้สิทธิทางศาลอันเนื่องมาจากการที่โจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลยที่
4 เพราะโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเอาความเท็จมาฟ้องต่อศาล
เป็นฟ้องแย้งที่อาศัยเหตุแห่งการฟ้องของโจทก์มาเป็นข้อกล่าวอ้าง
ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับฟ้องเดิม จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
คำพิพากษาฎีกาที่ 11317/2553
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้บังคับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย 50,000 บาท แก่จำเลย
โดยอ้างว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยไม่สุจริต ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เพราะสูญเสียรายได้เนื่องจากต้องเก็บสินค้าที่วางจำหน่ายในท้องตลาดตามคำสั่งของกรมทรัพย์สินทางปัญญาในระหว่างรอฟังผลของคดี เป็นการฟ้องแย้งโดยอาศัยเหตุที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เป็นข้ออ้างในการฟ้องแย้ง
จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้
เป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
และมาตรา 179 วรรคท้าย
คำพิพากษาฎีกาที่ 2504/2554
โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นชู้กับจำเลยที่ 2
พร้อมเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523
ซึ่งเป็นเรื่องการสิ้นสุดแห่งการสมรส ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ที่ว่า
โจทก์เอาความเท็จมาฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2
โดยไม่สุจริตและการที่โจทก์ไปร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2
ทำให้จำเลยที่ 2 ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยและหากคณะกรรมการหลงเชื่อจะทำให้จำเลยที่
2 ถูกออกจากงานและเสื่อมเสียชื่อเสียงจึงให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย
เป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดซึ่งไม่ได้อาศัยเหตุแห่งการหย่าและการเรียกค่าทดแทนตามฟ้องเดิมเป็นมูลหนี้
แต่เป็นการอ้างการกระทำอีกตอนหนึ่งของโจทก์อันเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นแตกต่างกันกับคำฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. 2553 มาตรา 6
คำถาม การรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงในคำร้องขอให้รับรองอุทธรณ์ไม่มีข้อความยืนยันว่ารับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
หากผู้พิพากษาคนเดียวกันได้มีคำสั่งในอุทธรณ์มีข้อความยืนยันรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
จะถือเป็นการรับรองโดยชอบแล้วหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6912/2554
คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ 44,524 บาท จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายของศาลชั้นต้น
อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว
ภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นรับรองอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องดังกล่าวว่า
“ พิเคราะห์แล้ว มีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้” และมีคำสั่งในอุทธรณ์ในวันเดียวกันว่า “
ศาลรับรองให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ รับอุทธรณ์ของจำเลย....”
ซึ่งการรับรองอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้นั้นต้องเป็นการรับรองโดยชัดแจ้ง
แม้คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งในคำร้องขอให้รับรองอุทธรณ์จะไม่มีข้อความยืนยันว่าตนรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
แต่ในขณะเดียวกันศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษานายเดียวกันได้มีคำสั่งในอุทธรณ์ของจำเลยมีข้อความยืนยันรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
เมื่อนำคำสั่งศาลชั้นต้นทั้งในคำร้องและอุทธรณ์มาพิจารณาประกอบกันแล้ว รับฟังได้ว่าคำรับรองอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นมีข้อความที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
จึงถือว่าเป็นการรับรองอุทธรณ์โดยชัดแจ้งแล้ว
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น