บทบรรณาธิการ
คำถาม
ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ร้องขอให้ศาลออกคำบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและบริวารซึ่งไม่ยอมออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 309 ตรี จะต้องร้องขอภายในกำหนดระยะเวลาบังคับคดี 10 ปี ตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 271 หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่
6724/2554
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ย ถ้าไม่ชำระให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.3) เลขที่ 463/364 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง
ออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับจากทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองได้จนครบ
จำเลยทั้งสองไม่ชำระโจทก์จึงขอออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวของจำเลยที่
2 ออกขายทอดตลาด
โจทก์ยื่นคำร้องว่า
โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินที่ยึดพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีและได้จดทะเบียนใส่ชื่อของโจทก์ในฐานะเจ้าของที่ดินแล้ว
แต่จำเลยและบริวารยังคงอาศัยอยู่ในอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว
ขอให้ศาลออกคำบังคับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกคำบังคับภายใน
30 วันนับแต่จำเลยได้รับคำบังคับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3
วินิจฉัยว่า
โจทก์ในฐานะผู้ซื้อทรัพย์ได้ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งออกคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสองโดยชอบแล้ว
การบังคับคดีของโจทก์เป็นการกระทำในฐานะผู้ซื้อทรัพย์ซึ่งถือเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามบทบัญญัติแห่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 309 ตรี
มิใช่เป็นการรับสิทธิของโจทก์ผู้ฟ้องคดีมาบังคับซึ่งจะต้องร้องขอให้บังคับคดีภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
สิทธิในการบังคับคดีของโจทก์ในฐานะผู้ซื้อทรัพย์จึงไม่ขาดอายุความ พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ผู้ซื้อทรัพย์ต้องร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทในกำหนดระยะเวลาบังคับคดี
10 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 หรือไม่
กรณีที่โจทก์ในฐานะผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์มาจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเจ้าพนักงานบังคับคดีโอนอสังหาริมทรัพย์ที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ
ผู้ซื้อได้ร้องขอให้ศาลออกคำบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและบริวารซึ่งไม่ยอมออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 309 ตรี เป็นการใช้สิทธิบังคับคดีของผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์มาจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาอันเป็นขั้นตอนการบังคับคดีภายหลังโจทก์ฝ่ายชนะคดีซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่
2 ฝ่ายแพ้คดีซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาภายในระยะเวลา 10 ปี
ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แล้ว กรณีมิใช่เรื่องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาร้องขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่
2 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
และมิใช่การใช้สิทธิของโจทก์ที่เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา และมิใช่การใช้สิทธิของโจทก์ที่เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามาบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่
2 จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการบังคับคดีตามมาตรา 271 มาบังคับได้
ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้ออกคำสั่งบังคับจำเลยที่2 และบริวารออกไปจากที่พิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสอง ฟังไม่ขึ้น
คำถาม ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์
เพราะหนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย ฟ้องแย้งจะตกไปด้วยหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 8387-8391/2553
ธ. ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์เนื่องจากหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนตามกฎหมายรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้
ผลจึงเท่ากับว่าไม่มีตัวโจทก์เข้ามาฟ้องคดี ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่
4 ที่ 5 และที่ 6 ย่อมตกไป เพราะการดำเนินกระบวนพิจารณาตามฟ้องแย้งนั้นจะต้องมีตัวโจทก์เดิมที่จะเป็นจำเลยตามฟ้องแย้งอยู่ด้วย
คำถาม ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 นั้น จำเลยด้วยกันเองจะมีสิทธิยื่นคำร้องดังกล่าวหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5419/2554
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มีสิทธิยื่นคำร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือไม่
เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “
ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์
ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต
ร่างกาย จิตใจ หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ชื่อเสียง
หรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย
ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้
” ซึ่งมาตรา 2 (4)
ให้ความหมายของคำว่า “ ผู้เสียหาย ”
ว่าหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทน ดังนั้น ตามคำฟ้องของโจทก์ถือว่าจำเลยที่ 2
มิใช่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2
(4)
ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ต้องพิจารณาตามที่กฎหมายกำหนดไว้และข้อเท็จจริงในขณะที่ยื่นคำร้องว่าเป็นผู้เสียหายหรือไม่
เมื่อบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้ผู้เสียหายเท่านั้นที่ยื่นคำร้องได้และขณะยื่นคำร้องจำเลยที่
2 ไม่ใช่ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่
1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำถาม ประวัติเกี่ยวกับการกระทำความผิด
ศาลจะนำมารับฟังเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีที่ถูกฟ้องได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2069/2554 ที่พันตำรวจตรีสมคิดเบิกความว่า จำเลยที่ 2
มีประวัติเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีน
โดยเคยถูกจับข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามเอกสารหมาย
จ. 10 นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/2
บัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดครั้งอื่น ๆ
เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดในคดีที่ฟ้อง....ศาลจึงนำประวัติของจำเลยที่
2
ที่เคยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษมารับฟังเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยทำผิดคดีนี้ไม่ได้
เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นเมทแอมเฟตามีนของกลางได้จากจำเลยที่ 1 เพียงคนเดียว
โดยจำเลยที่ 1 ยืนยันทันทีว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนรู้เห็น และจำเลยที่ 2
ให้การปฏิเสธตลอดมาตั้งแต่ชั้นจับกุมจนถึงชั้นศาล พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยที่
2 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 มานั้น
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาฎีกาที่ 7478/2554
ศาลอุทธรณ์นำพฤติการณ์แห่งคดีจากรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยมาวินิฉัยเพื่อใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำเลยหรือไม่มิได้ใช้รับฟังในฐานะเป็นพยานหลักฐานวินิจฉัยการกระทำที่ถูกฟ้องเพื่อลงโทษจำเลย
ประกอบกับศาลชั้นต้นได้แจ้งรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยให้จำเลยทราบแล้ว
จำเลยไม่ค้าน ถือได้ว่าจำเลยยอมรับพฤติการณ์แห่งคดีตามรายงานดังกล่าว
การที่ศาลอุทธรณ์นำพฤติการณ์แห่งคดีจากรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยมาวินิจฉัยเพื่อใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย
คำถาม บันทึกการจับกุมระบุว่า จำเลยที่ 1
รับเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากจำเลยที่ 2 ถือเป็นคำรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยที่
1 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคท้าย หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6243/2554 บันทึกการจับกุมระบุว่า จำเลยที่ 1 และที่
2 ยืนยันให้การรับสารภาพและจำเลยที่
1 ให้การรายละเอียดแก่เจ้าพนักงานว่ารับเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากจำเลยที่ 2 ซึ่งมิใช่คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1
จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยที่ 2 ได้
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น