วิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม , พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ,พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 สามารถค้นหาคำพิพากษาฎีกาภายใน 1o ปี หลังสุดได้แล้วครับ จะเร่งเพิ่มวิชาต่อไปให้เสร็จตามมาเรื่อยๆครับ

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา
www.lawbooks-by-mrt.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ธงคำตอบข้อสอบชั้นเนติบัณฑิต สมัย65 ภาค2 วิชาวิธีพิจารณาความอาญา

สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต  ภาคสอง  สมัยที่  65  ปีการศึกษา  2555
วิชากฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  สิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม
กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน  วิชาว่าความและการถามพยาน
การจัดทำเอกสารทางกฎหมาย
วันอาทิตย์ที่  7  เมษายน  2556
ข้อ  1.พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายคงเป็นจำเลยฐานยักยอกเงินจำนวน  300,000  บาท  ของนายมั่นผู้เสียหาย  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  352  ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้  นายคงให้การปฏิเสธ  ระหว่างพิจารณา  นายมั่นยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต  ต่อมาศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า  นายคงมีความผิดตามฟ้อง  จำคุก  6  เดือน  นายคงยื่นอุทธรณ์ขณะคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์  นายมั่นถึงแก่ความตาย
(ก)นายทองยื่นคำร้องต่อศาลว่า  ผู้ร้องเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับนายมั่นขอเข้าดำเนินคดีต่างนายมั่นโจทก์ร่วมผู้ตาย  กรณีหนึ่ง
(ข)นางนกภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายมั่นยื่นคำร้องต่อศาลว่า  ผู้ร้องได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากนายคงแล้ว  ผู้ร้องและทายาททุกคนไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่นายคงต่อไป  ขอถอนคำร้องทุกข์  อีกกรณีหนึ่ง
ให้วินิจฉัยว่า  ศาลจะสั่งคำร้องของนายทองตามข้อ  (ก)  และคำร้องของนางนกตามข้อ  (ข)  กับคดีอย่างไร
ธงคำตอบ
(ก) นายมั่นผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้วตายลง  แม้นายทองผู้ร้องจะเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับนายมั่นโจทก์ร่วมก็ตาม  แต่นายทองผู้ร้องมิใช่ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาของผู้ตาย  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  29  ที่จะดำเนินคดีต่างนายมั่นโจทก์ร่วมผู้ตายต่อไปได้  (คำพิพากษาฎีกาที่  2242/2533,  คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่  13/2534)  ศาลชอบที่จะสั่งยกคำร้องของนายทองผู้ร้อง
(ข) การถอนคำร้องทุกข์เป็นสิทธิ  ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  126  วรรคหนึ่ง  บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ร้องทุกข์ที่จะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้  สิทธิถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานยักยอกถือเป็นสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สิน  และในกรณีผู้ร้องทุกข์ตาย  สิทธิดังกล่าวย่อมตกทอดแก่ทายาท  เมื่อตามคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ของนางนก ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายมั่นผู้ตายได้ความว่า  บรรดาทายาททุกคนของนายมั่นไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่นายคงอีกต่อไป  และขอถอนคำร้องทุกข์  ดังนั้น  นางนกผู้ร้องซึ่งเป็นทายาทในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายมั่นผู้ตายจึงมีสิทธิถอนคำร้องทุกข์ได้  แม้คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์  และเมื่อมีการถอนคำร้องทุกข์โดยถูกต้องตามกฎหมาย  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามมาตรา  39  (2)  (คำสั่งศาลฎีกาที่  372/2549)  ศาลชอบที่จะสั่งจำหน่ายคดีนี้เสียจากสารบบความ

ข้อ  2.นายขาวร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่นายดำโดยกล่าวหาว่า  วันเกิดเหตุขณะที่นายขาวยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านของนายขาว  นายดำเดินเข้ามาทำร้ายนายขาวและเอาสร้อยคอทองคำหนัก  1  บาท  ของนายขาวไป  ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายดำได้ตามหมายจับ  และแจ้งข้อหาชิงทรัพย์กับแจ้งสิทธิตามกฎหมายชั้นจับกุมให้นายดำทราบ  นายดำรับสารภาพ  และแจ้งว่าได้เก็บสร้อยคอทองคำของนายขาวไว้ในตู้เสื้อผ้าภายในบ้านของนายดำ เจ้าพนักงานตำรวจบันทึกคำให้การของนายดำไว้ในบันทึกการจับกุมและยึดสร้อยคอทองคำเป็นของกลาง  ชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาชิงทรัพย์และแจ้งสิทธิตามกฎหมายที่ผู้ต้องหาพึงมีในชั้นสอบสวนให้นายดำทราบ  จากการสอบสวนได้ความว่า นอกจากนายดำแล้วยังมีนายเขียวและนายเหลืองร่วมกระทำความผิดด้วย  แต่นายเขียวและนายเหลืองหลบหนีไปได้  เมื่อพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จแล้วมีความเห็นว่า  ควรสั่งฟ้องนายดำฐานร่วมกันปล้นทรัพย์  ต่อมาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายดำในความผิดฐานดังกล่าว
(ก) นายดำให้การปฏิเสธโดยต่อสู้ว่า  ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเจ้าพนักงานมิได้แจ้งข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ให้นายดำทราบมาก่อน  เป็นเหตุให้การสอบสวนไม่ชอบ  โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนายดำในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  120  ขอให้ยกฟ้อง  ให้วินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของนายดำฟังขึ้นหรือไม่
(ข) ศาลจะรับฟังคำรับสารภาพในชั้นจับกุมของนายดำมาเป็นเหตุบรรเทาโทษได้หรือไม่
ธงคำตอบ
(ก) การสอบสวนเป็นเพียงการรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินการทั้งหลายตามที่กฎหมายกำหนดซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา  เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ  และการแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  134  เป็นขั้นตอนหนึ่งของการสอบสวนเพื่อให้ผู้ต้องหารู้ตัวก่อนว่าจะถูกสอบสวนในคดีอาญาเรื่องใด  แม้เดิมเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาหนึ่ง  แต่เมื่อการสอบสวนปรากฏว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานอื่น  ก็ถือได้ว่ามีการสอบสวนในความผิดฐานนั้นมาแล้วแต่แรก  ดังนั้น  แม้ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจะแจ้งข้อหาแก่นายดำฐานชิงทรัพย์  แต่เมื่อพนักงานอัยการโจทก์เห็นว่าการกระทำความผิดของนายดำเข้าองค์ประกอบความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ตามความเห็นของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ  โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องนายดำในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ได้  ข้อต่อสู้ของนายดำฟังไม่ขึ้น  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่  256/2553)
(ข) คำให้การในชั้นจับกุมของนายดำที่ว่า  ได้ทำร้ายร่างกายนายขาวและเอาสร้อยคอทองคำของนายขาวไปจริง  เป็นถ้อยคำที่ถือได้ว่าเป็นคำรับสารภาพของผู้ถูกจับว่าตนได้กระทำความผิดที่ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับขณะที่ตนถูกจับ  แม้กฎหมายจะห้ามมิให้ศาลรับฟังคำรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยเป็นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  84  วรรคท้าย  แต่กฎหมายก็มิได้ห้ามศาลนำมาใช้เป็นเหตุบรรเทาโทษแก่จำเลย  ซึ่งถือได้ว่าคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมดังกล่าวเป็นเหตุบรรเทาโทษโดยเหตุอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกันกับเหตุบรรเทาโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  78  วรรคสอง  ศาลจึงรับฟังคำรับสารภาพในชั้นจับกุมของนายดำมาเป็นเหตุบรรเทาโทษได้  (คำพิพากษาฎีกาที่  7245/2554)

ข้อ  3.  เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางเขนจับกุมนายสมบัติได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน  จำนวน  100  เม็ด  นำส่งพันตำรวจโทโชคชัยพนักงานสอบสวนดำเนินคดี จากการสอบสวนขยายผลนายสมบัติให้การซัดทอดว่าได้ร่วมกับนายสมชายจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน  พันตำรวจโทโชคชัยแจ้งให้ร้อยตำรวจโทบุญส่งทราบ  ร้อยตำรวจโทบุญส่งจึงวางแผนให้นายสมบัติโทรศัพท์จากสถานีตำรวจนครบาลบางเขนสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายสมชายอีก  จำนวน  100  เม็ด  โดยตกลงส่งมอบสิ่งของกันที่หน้าบ้านพักของนายสมชายในเขตท้องที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไทในวันเดียวกัน  เมื่อร้อยตำรวจโทบุญส่งกับพวกเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมซึ่งแอบซุ่มดูการล่อซื้อเห็นนายสมบัติล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้ว  จึงร่วมกันเข้าไปจับกุมนายสมชายที่หน้าบ้านพักทันที  พร้อมยึดได้ธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อและเมทแอมเฟตามีนที่ได้จากการล่อซื้อเป็นของกลาง  ขณะปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้นบ้านพักของจำเลย  ร้อยตำรวจโทบุญส่งได้บอกกับนายสมชายว่าหากมีเมทแอมเฟตามีนอยู่อีกให้นำมามอบให้จะได้รับโทษเบาลง นายสมชายจึงนำเมทแอมเฟตามีนที่ตนซุกซ่อนไว้ภายในบ้านมามอบให้ร้อยตำรวจโทบุญส่งยึดไว้เป็นของกลาง  หลังจากนั้นจึงนำตัวนายสมชายพร้อมของกลางทั้งหมดมาสอบสวนที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขน  ต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องนายสมชายเป็นจำเลยต่อศาลอาญาในความผิดฐานจำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท  1
ให้วินิจฉัยว่า
(ก) พนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องนายสมชายจำเลยหรือไม่
(ข) การที่ร้อยตำรวจโทบุญส่งพูดจูงใจให้จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนที่ซุกซ่อนไว้ภายในบ้านมามอบให้เพื่อให้ได้มาซึ่งของกลางในขณะปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้นเป็นการกระทำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ธงคำตอบ
(ก) เจ้าพนักงานตำรวจพบการกระทำผิดของนายสมบัติก่อนแล้วจึงสอบสวนขยายผล  นายสมบัติให้การซัดทอดว่าได้ร่วมกับจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน  การที่ร้อยตำรวจโทบุญส่งวางแผนให้นายสมบัติโทรศัพท์สั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยอีกจนจับกุมจำเลยได้ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไท  จึงเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องเกี่ยวพันกันทั้งในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขนซึ่งเป็นท้องที่ที่นายสมบัติโทรศัพท์ล่อซื้อและสถานีตำรวจนครบาลพญาไท  ซึ่งเป็นท้องที่ที่ทำการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางและจับกุมจำเลยได้  พนักงานสอบสวนท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องจึงมีอำนาจสอบสวน  ดังนั้น  พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางเขนย่อมมีอำนาจสอบสวนได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  19  วรรคหนึ่ง  (3)  การสอบสวนจึงเป็นไปโดยชอบ  พนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยตามมาตรา  120  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่  4337/2554)
(ข) การที่ร้อยตำรวจโทบุญส่งเจ้าพนักงานตำรวจผู้ตรวจค้นจับกุมจำเลย  ได้บอกจำเลยว่าหากมีเมทแอมเฟตามีนอยู่อีกให้นำมามอบให้จะได้รับโทษเบาลงนั้น  เป็นการพูดในขณะที่ปฏิบัติการตรวจค้นเพื่อให้ได้มาซึ่งของผิดกฎหมายที่อยู่ในความครอบครองของจำเลย  แม้จะเป็นการพูดจูงใจในทำนองว่าจำเลยจะได้รับโทษเบาลงก็ไม่ถึงขั้นเป็นการให้คำมั่นสัญญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  135  จึงมิใช่เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  (คำพิพากษาฎีกาที่  1542/2540)

ข้อ  4.(ก)  นายอาทิตย์ขับรถยนต์ชนรถยนต์ที่นายจันทร์ขับ  เป็นเหตุให้นายอาทิตย์และนายอังคารซึ่งโดยสารมาในรถยนต์ที่นายจันทร์ขับได้รับอันตรายสาหัส  พนักงานอัยการเห็นว่านายจันทร์เป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียว  จึงเป็นโจทก์ฟ้องนายจันทร์ในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  300  ศาลชั้นต้นประทับฟ้อง  นายจันทร์ให้การปฏิเสธ  ต่อมานายอาทิตย์เป็นโจทก์ฟ้องนายจันทร์ในข้อหาเดียวกันอีก  และนายอังคารเป็นโจทก์ฟ้องนายอาทิตย์ว่า  นายอาทิตย์กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายอังคารได้รับอันตรายสาหัส  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  300  เช่นกัน  ทั้งสองคดีหลังศาลชั้นต้นนัดไต่สวนมูลฟ้อง  แต่นายอาทิตย์และนายอังคารโจทก์ในสองคดีหลังต่างยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้รวมการพิจารณาคดีเข้ากับคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายจันทร์  ศาลชั้นต้นอนุญาต  พร้อมกับมีคำสั่งในสองคดีหลังว่า  กรณีนี้เป็นกรณีเดียวกับคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายจันทร์  จึงให้งดไต่สวนมูลฟ้อง  แล้วประทับฟ้องไว้พิจารณา
ให้วินิจฉัยว่า  คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ประทับฟ้องสองคดีหลังชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
(ข)  หากกรณีตาม  (ก)  นายอาทิตย์ไม่ได้ฟ้องนายจันทร์  คงมีเพียงคดีที่นายอังคารเป็นโจทก์ฟ้องนายอาทิตย์เท่านั้น  ซึ่งปรากฏว่าในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง  โจทก์  ทนายโจทก์  และจำเลยมาศาล  ศาลชั้นต้นมิได้ให้นายอังคารโจทก์นำพยานเข้าไต่สวน  เพียงแต่สอบถามข้อเท็จจริงแล้วนายอังคารโจทก์แถลงข้อเท็จจริงให้ทราบ  ศาลชั้นต้นบันทึกข้อเท็จจริงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา  ส่วนนายอาทิตย์จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องจริงและแถลงขอให้ลงโทษสถานเบา  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษนายอาทิตย์จำเลยไปทันทีในวันเดียวกัน
ให้วินิจฉัยว่า  คำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ธงคำตอบ
                (ก) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  162  วรรคหนึ่ง  (1)  ในคดีราษฎรเป็นโจทก์  ให้ไต่สวนมูลฟ้อง  แต่ถ้าคดีนั้นพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยโดยข้อหาอย่างเดียวกันด้วยแล้ว  ให้จัดการตามอนุมาตรา  (2)  คือไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้องคดีที่นายอาทิตย์เป็นโจทก์ฟ้องนายจันทร์  แม้พนักงานอัยการจะฟ้องนายจันทร์ไว้แล้ว  นายอาทิตย์เป็นผู้เสียหายก็ยังมีอำนาจฟ้องนายจันทร์เป็นคดีใหม่ได้อีก  และเมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้รวมการพิจารณาคดีเข้าด้วยกัน  อีกทั้งเป็นการฟ้องนายจันทร์ในข้อหาเดียวกันด้วย  ศาลชั้นต้นจึงไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้องอีกตามบทบัญญัติดังกล่าว  แต่คดีที่นายอังคารเป็นโจทก์ฟ้องนายอาทิตย์  แม้เป็นการฟ้องในข้อหาเดียวกันกับคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายจันทร์ก็ตาม  แต่จำเลยทั้งสองคดีไม่ใช่จำเลยคนเดียวกัน  จึงไม่ต้องด้วยมาตรา  162  วรรคหนึ่ง  (1)  ที่ศาลชั้นต้นจะจัดการตามอนุมาตรา  (2)  จึงต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อน  ดังนั้น  คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ประทับฟ้องคดีที่นายอาทิตย์เป็นโจทก์ฟ้องนายจันทร์นั้นชอบด้วยกฎหมาย แต่ที่ให้งดไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้องคดีที่นายอังคารเป็นโจทก์ฟ้อง  นายอาทิตย์นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
                (ข) ตามประมวลกฎหมายวิธิจารณาความอาญา  มาตรา  162  วรรคสอง  ในกรณีที่มีการไต่สวนมูลฟ้อง  ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพ  ให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณา  การที่ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงจากนายอังคารโจทก์ซึ่งแถลงข้อเท็จจริงให้ทราบโดยมีการบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา  ถือได้ว่าเป็นกรณีที่มีการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว  เมื่อนายอาทิตย์จำเลยให้การรับสารภาพ  ศาลชั้นต้นต้องสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาตามบทบัญญัติดังกล่าว  คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ประทับฟ้องนายอาทิตย์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว  เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้องแล้ว  ถ้าศาลชั้นต้นจะพิจารณาพิพากษาคดีให้เสร็จไปในวันนั้น  ศาลชั้นต้นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามมาตรา  173  วรรคสอง  และ  172  วรรคสอง  โดยสอบถามจำเลยเรื่องทนายความ  อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง  และถามคำให้การจำเลย  หากจำเลยยังคงให้การรับสารภาพ  ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดีไปโดยไม่สืบพยานก็ได้  การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปทันทีในวันเดียวกันโดยมิได้ดำเนินกระบวนการพิจารณาตามขั้นตอนดังกล่าว  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

                ข้อ  5.พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่า  เมื่อวันที่  10  กุมภาพันธ์  2556  เวลากลางวัน  จำเลยลักโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายกบผู้เสียหายไปโดยทุจริต  เหตุเกิดที่แขวงลาดพร้าว  เขตลาดพร้าว  กรุงเทพมหานคร  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  335  วรรคแรก  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี  และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท  จำเลยให้การปฏิเสธ  ก่อนสืบพยาน  โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุเป็นว่า  เหตุเกิดที่แขวงลาดยาว  เขตจตุจักร  กรุงเทพมหานคร  โดยอ้างว่าเสมียนพิมพ์ผิดพลาด  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง  ยกคำร้อง
                ให้วินิจฉัยว่า
                (ก)โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องทันทีได้หรือไม่
                (ข)หากศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จแล้วพิพากษาว่า  จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  334  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท โดยให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี และปรับ 6,000 บาท  แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด   2  ปี  โจทก์จะอุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุกจำเลยได้หรือไม่
ธงคำตอบ
                (ก) คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง  เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน  ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นจนกว่าศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  196  โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องทันทีไม่ได้  และในกรณีเช่นนี้จะนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  227  และ  228  ว่าด้วยการอุทธรณ์คำสั่งไม่รับหรือคืนคำคู่ความมาบังคับใช้โดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  15  ไม่ได้  เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่  2229/2533)
                (ข) โจทก์บรรยายฟ้องว่า  เมื่อวันที่  10  กุมภาพันธ์  2556  เวลากลางวัน  จำเลยลักโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายกบผู้เสียหายไปโดยทุจริต  แม้โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  335  วรรคแรก  ก็ตาม  แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า  เหตุเกิดในเวลากลางคืน  ศาลจึงลงโทษจำเลยตามมาตรา  335  ดังกล่าวไม่ได้คงลงโทษจำเลยได้ตามมาตรา  334  ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงให้จำคุกไม่เกินสามปี  หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  193  ทวิ  เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย  ปี  และปรับ  6,000  บาท  โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้  โจทก์จะอุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุกจำเลยซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้  เพราะต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่  10589/2553)

                ข้อ  6.ร้อยตำรวจโทธรรมสืบทราบว่านายแดงซึ่งศาลได้ออกหมายจับในคดีชิงทรัพย์หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเลขที่  22  ของนายดำน้องชายนายแดง  จึงยื่นคำร้องต่อศาลขอออกหมายค้นบ้านหลังดังกล่าว  ศาลออกหมายค้นให้ตามคำร้องขอ  เมื่อร้อยตำรวจโทธรรมและสิบตำรวจตรีพรกับพวกไปถึงบ้านนายดำ  พบว่านายแดงหลบหนีเข้าไปในบ้านเลขที่  23  ซึ่งตามทะเบียนบ้านมีนายแดงมีเจ้าบ้าน  ร้อยตำรวจโทธรรมได้แสดงตัวแต่นายแดงได้ปิดประตูไม่ยอมให้เข้าบ้าน  ร้อยตำรวจโทธรรมและสิบตำรวจตรีพรกับพวกตามเข้าไปจับนายแดง  นายแดงไม่ยอมเปิดประตูอ้างว่าจะมอบตัวในวันหลัง  ร้อยตำรวจโทธรรมและสิบตำรวจตรีพรกับพวกกระแทกประตูจนเปิดออกแล้วเข้าไปจับกุมนายแดงไว้ได้  ส่วนสิบตำรวจตรีพรเห็นนายเหลืองบุตรนายแดงกำลังเสพเมทแอมเฟตามีนอยู่ในบ้านดังกล่าว  จึงเข้าจับกุมนำส่งพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ
                ให้วินิจฉัยว่า  การตรวจค้นและจับกุมนายแดงและนายเหลืองชอบหรือไม่
ธงคำตอบ
                การจับในที่รโหฐานนั้น  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  81  บัญญัติว่า  ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม  ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน  เว้นแต่จะได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอันนี้ว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน  ส่วนการค้นในที่รโหฐานนั้นตามมาตรา  92  วรรคหนึ่ง  (5)  หากผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน  และการจับนั้นมีหมายจับเจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจค้นและจับได้  การจับนายแดงย่อมกระทำได้ เนื่องจากนายแดงผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และมีหมายจับนายแดงตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว  ในการจับปรากฏว่านายแดงหลบหนีเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตูไม่ยอมให้ร้อยตำรวจโทธรรมกับพวกเข้าไปจับ  ร้อยตำรวจโทธรรมกับพวกย่อมมีอำนาจใช้กำลังเพื่อเข้าไปในบ้านนั้น  การที่ร้อยตำรวจโทธรรมและสิบตำรวจตรีพรกับพวกกระแทกประตูบ้านจนเปิดออกแล้วเข้าไปจับนายแดงไว้ได้  นับว่าเป็นกรณีจำเป็นที่ร้อยตำรวจโทธรรมเจ้าพนักงานตำรวจผู้ตรวจค้นมีอำนาจกระทำได้ตามมาตรา  94  วรรคสอง  เพราะเป็นการใช้กำลังอันเหมาะสมตามพฤติการณ์แห่งเรื่อง  (คำพิพากษาฎีกาที่  1035/2536,  6403/2545)  การตรวจค้นบ้านและจับกุม  นายแดงจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
                เมื่อขณะตรวจค้นสิบตำรวจตรีพรเห็นนายเหลืองกำลังเสพเมทแอมเฟตามีนในบ้านของนายแดงซึ่งเป็นความผิดซึ่งหน้า  สิบตำรวจตรีพรย่อมมีอำนาจจับกุมนายเหลืองได้ตามมาตรา  98  (2)  การตรวจค้นและจับกุมนายเหลืองจึงชอบแล้วเช่นกัน

                ข้อ  7.  โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าจ้างทำของจำนวน  500,000  บาท  จากจำเลย  ตามภาพถ่ายสัญญาจ้างก่อสร้างท้ายฟ้อง  จำเลยให้การว่า  โจทก์ทำงานผิดพลาดหลายประการ  จำเลยจึงยังจ่ายค่าจ้างให้ไม่ได้  แต่เมื่อมีการเจรจาประนอมข้อพิพาท  โจทก์และจำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกันได้  ตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายคำให้การ  ทำให้หนี้เดิมตามคำฟ้องระงับสิ้นไปแล้ว  โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง  ขอให้ยกฟ้อง
                ให้วินิจฉัยว่า
                (ก) คดีมีประเด็นข้อพิพาท  และภาระการพิสูจน์อย่างไร
                (ข) ถ้าโจทก์ไม่ได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายคำให้การไว้เลย  จำเลยจะนำสืบสำเนาหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความแทนต้นฉบับได้หรือไม่
                (ค) โจทก์จะขอนำสืบพยานบุคคลว่าหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเอกสารปลอมทั้งฉบับได้หรือไม่
ธงคำตอบ
                (ก) คดีมีประเด็นข้อพิพาทประเด็นเดียวว่า  โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันหรือไม่  จำเลยมีภาระการพิสูจน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  84/1  เพราะจำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวส่วนข้อที่โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องนั้น  จำเลยมิได้ยกขึ้นปฏิเสธในคำให้การตามมาตรา  177  วรรคสอง  ถือว่าจำเลยยอมรับแล้ว  จึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาท
                (ข) ภาพถ่ายหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความที่แนบไปท้ายคำให้การ  มีผลเท่ากับได้ส่งสำเนาเอกสารนั้นให้โจทก์และศาลล่วงหน้าถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  90  วรรคหนึ่ง  แล้ว  โจทก์มีหน้าที่ต้องคัดค้านการมีอยู่และความถูกต้องแท้จริงแห่งเอกสารนั้นต่อศาลก่อนการนำสืบเอกสารดังกล่าวเสร็จตามมาตรา  125  วรรคหนึ่ง  เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านไว้  จำเลยจึงนำสืบสำเนาเอกสารนั้นแทนต้นฉบับได้ตามมาตรา  93  (4)
                (ค) การที่โจทก์ไม่ได้คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงของสัญญาประนีประนอมยอมความก่อนการสืบพยานเอกสารนั้นเสร็จ  จึงมีผลห้ามมิให้โจทก์คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงของเอกสารนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  125  วรรคสาม  โจทก์จะนำสืบพยานหลักฐานทุกชนิดรวมทั้งพยานบุคคลว่าสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเอกสารปลอมทั้งฉบับไม่ได้

                ข้อ  8.ร้อยตำรวจตรีเขียวได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ไปสืบสวนหาข่าวที่ร้านอาหารกินด่วน  ซึ่งสืบทราบว่าเป็นแหล่งที่ผู้ค้ายาเสพติดชอบมาชุมนุม  ร้อยตำรวจตรีเขียวแต่งกายนอกเครื่องแบบสังเกตเห็นนายหนึ่งและนายสองมีพฤติการณ์น่าสงสัย  จึงไปนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะใกล้กับโต๊ะของบุคคลทั้งสอง  ได้ยินนายหนึ่งพูดกับนายสองว่าจะนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งที่บ้านนายสอง  ร้อยตำรวจตรีเขียวรายงานต่อพันตำรวจโทเหลือง  ต่อมาร้อยตำรวจตรีเขียวยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ออกหมายค้นบ้านนายสอง  แล้วพันตำรวจโทเหลืองและร้อยตำรวจตรีเขียวนำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นบ้านนายสอง  พบนายหนึ่งและนายสอง  เมื่อตรวจค้นบ้านพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน  10,000  เม็ด  ซุกซ่อนอยู่  จึงจับกุมนายหนึ่งและนายสองพร้อมกับยึดยาเสพติดเป็นของกลางและดำเนินคดีแก่ทั้งสองคนในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย  ชั้นพิจารณา  พันตำรวจโทเหลืองผู้จับกุมเป็นพยานเบิกความถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น  แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบร้อยตำรวจตรีเขียวเนื่องจากร้อยตำรวจตรีเขียวต้องหาคดีฆ่าผู้อื่นและหลบหนีไปต่างประเทศ  โดยโจทก์เพียงนำสืบอ้างส่งบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของร้อยตำรวจตรีเขียวที่ให้การเรื่องที่นายหนึ่งพูดกับนายสองดังกล่าวประกอบคำเบิกความของพนักงานสอบสวน  นายหนึ่งและนายสองโต้แย้งว่า  เมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยอาศัยข้อมูลจากการลักลอบดักฟังซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ต้องห้ามมิให้รับฟัง  เช่นเดียวกับคำให้การชั้นสอบสวนของร้อยตำรวจตรีเขียวซึ่งเป็นพยานบอกเล่า  ต้องห้ามมิให้รับฟังเช่นกัน
                ให้วินิจฉัยว่า  ศาลจะอาศัยเมทแอมเฟตามีนของกลาง  และคำให้การชั้นสอบสวนของร้อยตำรวจตรีเขียวเป็นพยานหลักฐานเพื่อรับฟังลงโทษนายหนึ่งและนายสองได้หรือไม่  เพียงใด
ธงคำตอบ
                เมื่อการค้นได้เมทแอมเฟตามีนของกลางเกิดจากข้อมูลที่ร้อยตำรวจตรีเขียวได้ยินจากการสนทนาของนายหนึ่งและนายสองในร้านอาหารซึ่งเป็นสถานที่ที่บุคคลทั่วไปย่อมเข้าไปได้  ประกอบกับร้อยตำรวจตรีเขียวปฏิบัติไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา  ซึ่งมีมูลกรณีให้สั่งได้โดยชอบ  การที่นายหนึ่งและนายสองสนทนากันโดยไม่ระมัดระวังและร้อยตำรวจตรีเขียวได้ยิน  จึงไม่ใช่การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของร้อยตำรวจตรีเขียว  ส่วนเมทแอมเฟตามีนของกลางได้มาจากการค้นของเจ้าพนักงานตามหมายค้นของศาล  กรณีจึงไม่ใช่พยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ  ทั้งมิได้อาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยมิชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  226/1  แต่อย่างใด  ศาลย่อมรับฟังเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นพยานหลักฐานได้
                ส่วนบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของร้อยตำรวจตรีเขียวนั้น  แม้ว่าจะเป็นพยานบอกเล่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  226/3  วรรคหนึ่ง  แต่เมื่อร้อยตำรวจตรีเขียวหลบหนีไปต่างประเทศไม่อาจมาเบิกความได้  จึงมีเหตุจำเป็นทำให้ไม่สามารถได้ตัวพยานสำคัญมาเบิกความต่อศาล  ทั้งมีเหตุอันสมควรเนื่องจากมีเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นพยานหลักฐานที่ได้รับฟังได้  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  เป็นกรณีที่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  226/3  วรรคสอง  (2)  ศาลย่อมรับฟังบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของร้อยตำรวจตรีเขียวได้
                อย่างไรก็ตาม  ในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่าดังกล่าว  แม้ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง  และไม่ควรเชื่อพยานบอกเล่าโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย  แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้ตัวร้อยตำรวจตรีเขียวมาเบิกความเป็นพยานเนื่องจากหลบหนีคดี  อันเป็นพฤติการณ์พิเศษ  ทั้งโจทก์ยังมีเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นพยานหลักฐานประกอบมาสนับสนุน  ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังลงโทษนายหนึ่งและนายสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  227/1

                ข้อ  9.  ข้อเท็จจริงในสำนวนสอบสวนโดยย่อความว่า  เมื่อคืนวันศุกร์ที่  15  มีนาคม  2556  เวลา  22  นาฬิกาเศษ  ผู้ต้องหาที่  1  ถึงที่  15  และที่หลบหนีไปอีก  5  คน  ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง  ได้แต่งตัวอำพรางตนเองโดยสวมชุดสีดำ  มีหมวกไหมพรมปิดหน้าร่วมปรึกษากันเพื่อที่จะเข้าปล้นทรัพย์ในโรงงานผลิตอาหารกระป๋องของบริษัทอิสระอุตสาหกรรม  จำกัด  และเพื่อที่จะไปฆ่านายเกษมเจ้าของโรงงานดังกล่าวเสีย  เหตุเกิดที่แขวงบางขุนนนท์  เขตบางกอกน้อย  กรุงเทพมหานคร  แต่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้ต้องหาทั้ง  15  คน  ได้ในขณะที่ประชุมปรึกษาหารือกัน  ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทุกคนรับสารภาพและได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
                ให้ท่านในฐานะพนักงานอัยการร่างคำฟ้องเพื่อฟ้องผู้ต้องหาทุกคนในความผิดฐานซ่องโจร  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  83  และมาตรา  210  (ให้ร่างเฉพาะใจความในคำฟ้องเท่านั้น)
ธงคำตอบ
                ร่างคำฟ้องความผิดฐานซ่องโจร  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  83  และ  มาตรา  210
ตัวอย่างคำฟ้อง
                ข้อ  1.เมื่อวันที่  15  มีนาคม  2556  เวลากลางคืนหลังเที่ยง  จำเลยที่  1  ถึงที่  15  กับพวกอีก  5  คน  ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง  ได้ร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันโดยบังอาจสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป  ประชุมปรึกษากันเพื่อทำการปล้นทรัพย์และฆ่าผู้อื่น  ซึ่งความผิดดังกล่าวเป็นความผิดที่บัญญัติไว้ในภาค  2  แห่งประมวลกฎหมายอาญา  และเป็นความผิดที่มีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป  อันเป็นการกระทำความผิดฐานซ่องโจร
                เหตุเกิดที่แขวงบางขุนนนท์  เขตบางกอกน้อย  กรุงเทพมหานคร
                ข้อ  2.ตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้อง  ข้อ  1.  เจ้าพนักงานจับจำเลยที่  1  ถึงที่  15  ได้ทำการสอบสวนแล้ว  จำเลยทุกคนให้การรับสารภาพ  ระหว่างสอบสวน  จำเลยที่  1  ถึงที่  15  ไม่ได้ถูกควบคุมตัวโดยได้รับการปล่อยชั่วคราว  ได้ส่งตัวจำเลยที่  1  ถึงที่  15  มาศาลพร้อมฟ้องนี้แล้ว
                ขอให้ลงโทษจำเลยที่  1  ถึงที่  15  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  210  และ  83
                                                                                ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
                                                                                                ลงชื่อ_________________โจทก์

ข้อ  10.นายเก่ง  กิจการดี  ในฐานะผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทกิจการดี  จำกัด  ออกเงินทดรองจำนวน  10  ล้านบาท  เพื่อวางมัดจำการทำสัญญาจะซื้อที่ดินที่จังหวัดภูเก็ตที่ตกลงซื้อขายกันในราคา  100  ล้านบาท  นายเก่งต้องการให้บริษัทซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อตั้งเพื่อจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดสามารถรับโอนที่ดินจากผู้ขายโดยตรงไม่ต้องโอนผ่านตนเอง
ดังนี้  ให้ท่านร่างหนังสือเชิญประชุมตั้งบริษัทกิจการดี  จำกัด  ที่มีวาระการประชุมครบถ้วน  โดยเฉพาะให้ครอบคลุมการซื้อขายที่ดินให้มีการโอนกรรมสิทธิ์จากผู้ขายไปยังบริษัทโดยตรงไม่ต้องโอนผ่านนายเก่ง
ธงคำตอบ
หนังสือนัดประชุมตั้งบริษัท
บริษัทกิจการดี  จำกัด
วันที่______เดือน___________.._____
เรื่อง       ขอเชิญประชุมตั้งบริษัท
เรียน       ท่านผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นของบริษัทกิจการดี  จำกัด
                ด้วยผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทได้ดำเนินการจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทเรียบร้อยแล้ว  และบัดนี้ได้มีผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นของบริษัทครบตามจำนวนที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วจึงตกลงให้มีการประชุมตั้งบริษัทในวันที่_____เดือน_____________.._____เวลา_________________________ ตามระเบียบวาระการประชุม  ดังต่อไปนี้
1.             พิจารณาตั้งข้อบังคับของบริษัท
2.             พิจารณาให้สัตยาบันแก่บรรดาสัญญาที่ผู้เริ่มก่อการได้ทำไว้  และค่าใช้จ่ายซึ่งจำเป็นต้องจ่ายในการตั้งบริษัท
3.             พิจารณาเรื่องหุ้น
4.             พิจารณาเลือกตั้งกรรมการชุดแรกของบริษัท  และกำหนดอำนาจกรรมการ
5.             พิจารณาเลือกตั้งผู้สอบบัญชี  และกำหนดค่าสินจ้าง
6.             เรื่องอื่นๆ  (ถ้ามี)

จึงเรียนมาเพื่อเชิญเข้าร่วมประชุมตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวข้างต้นโดยพร้อมเพรียงกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น