คำถาม ฟ้องขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์
ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ในเวลากลางคืนและร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป
ซึ่งมีโทษหนักกว่า ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยในฐานความผิดที่ถูกต้องได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 653/2553 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับ ผ.
ร่วมกันวิ่งราวโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหาย แต่ทางนำสืบของโจทก์กลับได้ความว่า
ผ. ทำทีเป็นพูดโทรศัพท์เคลื่อนที่
และเอาโทรศัพท์ไปในขณะที่ผู้เสียหายให้บริการลูกค้าคนอื่นอยู่
เป็นการเอาไปในขณะเผลอ มิใช่เป็นการฉกฉวยทรัพย์ไปโดยซึ่งหน้า
จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
เมื่อเหตุเกิดในเวลากลางคืนและร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป
เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) และ 335 (7)
ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335
วรรคสอง ซึ่งมีโทษหนักกว่าความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามมาตรา 336 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวีธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 192
แต่จะพิพากษาลงโทษจำเลยหนักขึ้นกว่าที่ศาลล่างกำหนดไม่ได้
เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำถาม พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานะลักทรัพย์รถยนต์
หากรถยนต์ของผู้เสียหายถูกถอดส่วนควบออกเป็นอะไหล่ชิ้นส่วนต่าง
ๆ คงเหลือซากที่เป็นรถยนต์ซึ่งผู้เสียหายได้รับคืนไปแล้ว
พนักงานอัยการจะมีคำขอให้คืนหรือใช้ราคารถยนต์แก่ผู้เสียหายได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 8459/2552
รถยนต์ของผู้เสียหายถูกถอดอุปกรณ์ส่วนควบออกเป็นอะไหล่ชิ้นส่วนต่าง
ๆ คงเหลือซากที่เป็นรถยนต์
มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรเปลี่ยนนำไปเป็นของอื่น เมื่อผู้เสียหายได้รับอุปกรณ์ส่วนควบซึ่งเป็นของกลางที่เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้คืนแล้ว
พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา
43 อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำรถยนต์ไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้
ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่
คำถาม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ (มิได้พิพากษายกฟ้อง) ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
คดีจะต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 220
หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ท. 1352/2553 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า
มูลหนี้ตามเช็คพิพาทโจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งและคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว
มูลหนี้ตามเช็คพิพาทเป็นอันสิ้นผลผูกพันคดีจึงเลิกกัน
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง
พ.ศ. 2499 มาตรา 4
ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำถาม คำเบิกความไว้ก่อนฟ้องคดี ในคดีอาญาอีกสำนวนหนึ่ง จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีหลังซึ่งเป็นคดีเรื่องเดียวกันกับคดีก่อนได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 10272/2553
คำเบิกความของผู้เสียหายและ ว. ซึ่งศาลชั้นต้นให้สืบพยานไว้ก่อนในคดีอาญาอีกสำนวนหนึ่ง
ซึ่งพวกของจำเลยร่วมกระทำความผิดกับจำเลยในคดีนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4
ในคดีดังกล่าว คดีนี้และคดีดังกล่าวจึงเป็นคดีเดียวกัน แต่ที่พนักงานอัยการต้องแยกฟ้องเป็น
2 คดี เนื่องจากจับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ก่อน ส่วนจำเลยเพิ่งจับได้ในภายหลัง
เพราะจำเลยหลบหนี ดังนั้น ศาลจึงรับฟังคำเบิก ความของผู้เสียหายและ ว.
ที่ได้เบิกความไว้ในคดีดังกล่าวในการพิจารณาคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา 237 ทวิ วรรคห้า
ผู้เสียหายทำร้ายผู้ตายโดยใช้ไม้ตีแขนขาผู้ตายก็เนื่องจากถูกจำเลยบังคับให้ตี
เมื่อผู้เสียหายไม่ตีผู้ตาย
จำเลยก็ตีผู้เสียหายทำให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีรอยช้ำบวมที่ใบหน้า ศีรษะ
แขนและขา การที่ผู้เสียหายตีผู้ตายดังกล่าวเป็นเพราะอยู่ภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ ผู้เสียหายจึงมิได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลย
จึงมิใช่กรณีที่โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานอันจะต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 232
เทปบันทึกเสียงของกลางซึ่งพบที่บ้านจำเลยเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่พิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลย
จำเลยมิได้ต่อสู้หรือปฏิเสธความถูกต้องของเสียงที่มีการบันทึกไว้ จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
คำถาม จำเลยให้การต่อสู้ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ได้วินิจฉัยเรื่องอายุความ
โจทก์อุทธรณ์ จำเลยไม่ยกปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความตั้งเป็นประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
จำเลยจะฎีกาปัญหาเรื่องอายุความได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6700/2553 จำเลยที่ 2
ให้การว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 10
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ได้วินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความ โจทก์อุทธรณ์ จำเลยที่ 2
ไม่ได้ยกปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความตั้งเป็นประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์
จึงไม่มีประเด็นในเรื่องอายุความ
แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ 10 ปี
ในการใช้สิทธิไล่เบี้ยไว้ ก็ไม่ทำให้เกิดประเด็นเรื่องอายุความ ที่จำเลยที่ 2
ฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง
ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำถาม โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้เงินและบังคับจำนองระหว่างฎีกา
จำเลยจะขอคุ้มครองชั่วคราวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 264
ให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไว้ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ ท.
1527/2553 โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้เงินและบังคับจำนอง มิใช่พิพาทกันด้วยทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่จำเลยจะร้องขอเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง
โดยขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไว้ชั่วคราวในระหว่างฎีกา
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264
คำถาม ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีโดยผิดหลงว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่ง
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของโจทก์โดยไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องของโจทก์ให้แก่จำเลยคัดค้านก่อน
แล้วมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี ดังนี้ชอบหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2897/2553
ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย เวลา 9 นาฬิกา เมื่อถึงวันนัดในช่วงเช้าทนายโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์มาศาลและไปคอยอยู่ที่ห้องพิจารณาคดีที่
2 แต่เนื่องจากคดีนี้ย้ายไปพิจารณาที่ห้องพิจารณาคดีที่ 5 จึงไม่พบสำนวนคดีนี้ที่ห้องพิจารณาคดีที่
2 ทนายโจทก์จึงไปสอบถามเจ้าหน้าที่ศูนย์หน้าบัลลังก์
ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ศูนย์หน้าบัลลังก์ลงเวลานัดพิจารณาคดีผิดพลาดเป็นช่วงบ่าย ทนายโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์จึงไม่ได้เข้าห้องพิจารณาคดีที่ 5 ใน ช่วงเช้า โดยรออยู่ที่ศาลจนถึงช่วงบ่าย แสดงให้เห็นว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์และทนายโจทก์มาศาลตามกำหนดนัดแล้ว
แต่เป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ศาลเองที่ทำให้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์และทนายโจทก์ไม่ได้เข้าห้องพิจารณาคดี
เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นเข้าใจว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายขาดนัดพิจารณา
จึงมีคำส่งจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ
เป็นการสั่งโดยผิดหลงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวเสียได้ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 27 ให้อำนาจไว้ โดยไม่จำต้องมีคู่ความฝ่ายใดร้องขอ
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น