แก้คำผิด
ในหนังสือรวมคำบรรยาย
เล่มที่ 7 หน้า 260 ย่อหน้าที่สอง
วิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 อาจารย์สมชาย จุลนิติ์ ให้แก้ไขเป็นดังนี้
“ มาตรา 263
(เดิม) ในกรณีใด ๆ ถ้าศาลได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำขอในวิธีการชั่วคราวตามลักษณะนี้
จำเลยซึ่งต้องถูกบังคับโดยวิธีการนั้น
ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทน
(1) ถ้าคดีนั้นศาลตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้
และปรากฏว่าศาลมีคำสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่า สิทธิเรียกร้องของผู้ขอมีเหตุอันสมควร โดยความผิดหรือเลินเล่อของผู้ขอ
(2)
ไม่ว่าคดีนั้นศาลจะชี้ขาดตัดสินให้โจทก์ชนะหรือแพ้คดีก็ดี
ถ้าปรากฎว่าศาลมีคำสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่าวิธีการเช่นว่านี้มีเหตุผลเพียงพอ
โดยความผิดหรือเลินเล่อของผู้ขอ”
คำถาม มีหลักเกณฑ์ตายตัวหรือไม่ว่าศาลจะต้องกำหนดให้คู่ความฝ่ายที่มีภาระการพิสูจน์ต้องมีหน้าที่นำสืบก่อน
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 4823 - 4824/2554 ตามรายงานกระบวนพิจารณา
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่
แม้ไม่ได้ระบุภาระการพิสูจน์ใหม่ให้ชัดเจนว่าตกอยู่แก่ฝ่ายใด แต่เมื่อโจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373
ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ดังนี้ ภาระการพิสูจน์จึงตกอยู่แก่จำเลยทั้งสาม
โดยผลของกฎหมายดังกล่าวและศาลก็ต้องพิพากษาไปตามภาระการพิสูจน์ที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามแม้ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่จำเลยทั้งสามก็มิใช่หลักเกณฑ์ตายตัวว่า
ศาลจะต้องกำหนดให้จำเลยทั้งสามมีหน้าที่นำสืบก่อนเสมอไป
เพราะศาลอาจกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนได้เช่นกัน
ทั้งนี้โดยคำนึงถึงความสะดวกรวดเร็วและความยุติธรรมในการพิจารณาคดี ดังนั้น
การกำหนดหน้าที่นำสืบก่อนจึงหาได้ทำให้ภาระการพิสูจน์ที่ถูกต้องเปลี่ยนแปลงไปไม่
เพียงแต่อาจจะทำให้โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายที่นำสืบพยานก่อนเห็นว่าตนเสียเปรียบในเชิงคดี
ซึ่งโจทก์ชอบที่จะโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาดังกล่าวได้ เมื่อไม่ได้โต้แย้งคัดค้านย่อมถือว่าโจทก์ยอมรับตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้ว
โจทก์ไม่อาจฎีกาโต้แย้งในข้อนี้ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำถาม คดีที่ศาลมีคำพิพากษาตามยอม
คู่ความจะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหรือแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความอ้างว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6915/2554
เมื่อจำเลยเห็นว่าข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมนั้น
ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนอันเป็นเหตุให้เข้าข้อยกเว้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138 วรรคสอง ที่จำเลยสามารถอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมได้
จำเลยก็ต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตามยอมให้คู่ความฟังตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 229 แต่จำเลยหาได้อุทธรณ์ไม่
กลับยื่นคำร้องให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนหรือแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่มีบทกฎหมายใดให้จำเลยกระทำเช่นนั้นได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3
มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้วินิจฉัยจึงชอบแล้ว
คำถาม คดีฟ้องขับไล่ออกจากอสังหาริมทรัพย์และเรียกค่าเสียหาย จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 7572/2554
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท
จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกสร้างบ้านในที่ดินพิพาท
ทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาท
ซึ่งโจทก์อาจให้เช่าได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,000 บาท ค่าเสียหายถึงวันฟ้องเป็นเงิน 48,000 บาท
และมีคำขอบังคับให้จำเลยกับบริวารรื้อถอนบ้านหลังดังกล่าวกับขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท
ให้ใช้ค่าเสียหาย 48,000 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 1,000
บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยกับบริวารจะรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินพิพาท
จึงถือว่าคำขอบังคับให้จำเลยกับบริวารรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินพิพาทเป็นคำขอหลัก ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น
โจทก์แถลงไม่ติดใจบังคับจำเลยเกี่ยวกับค่าเสียหายตามฟ้องแล้ว
เช่นนี้ คงเหลือคำขอบังคับแต่เพียงให้จำเลยกับบริวารรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินพิพาทเท่านั้น ซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณราคาเป็นเงินได้ แม้จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์ แต่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
โดยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ไม่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา
17 ประกอบมาตรา 25 (4)
คำถาม
การอ้างว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีต่ำเกินไปจะขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสองได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 7574/2554
คำสั่งของศาลที่ให้เป็นที่สุดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 309 ทวิวรรคสี่ นั้น
ต้องเป็นคำสั่งตามคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่อ้างเหตุว่าราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดต่ำเกินสมควรตาม ป.วิ.พ.มาตรา
309 ทวิ วรรคสอง ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีต่ำเกินไปนั้นจึงไม่เป็นที่สุด
กรณีการประเมินราคาทรัพย์สินของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเพียงการประเมินราคาในชั้นต้น
เพื่อประโยชน์ในการบังคับคดีขายทอดตลาดซึ่งอาจจะไม่ตรงกับราคาที่แท้จริงได้
และการกำหนดราคาเริ่มต้นขายตามประกาศกรมบังคับคดีก็ไม่ได้ผูกมัดจำเลยหรือโจทก์หรือผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีว่าเมื่อขายทอดตลาดแล้วจะต้องเป็นไปตามราคาดังกล่าว แต่ขึ้นอยู่กับผู้เข้าสู้ราคาว่าจะให้ราคาสูงสุดเพียงใด ซึ่งหากจำเลยเห็นว่าราคาต่ำเกินไปก็ชอบที่จะคัดค้านการขายทอดตลาดได้
การที่จำเลยอ้างว่าราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีต่ำเกินไปนั้น
ยังถือไม่ได้ว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิที่จำเลยจะขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดตาม
ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคสองได้
คำถาม
คดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกแต่รอการลงโทษ
โจทก์จะอุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6698/2554 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.
มาตรา 300 พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 43, 157 ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ส. มารดา ช.
ผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์ โดยมิได้ระบุว่าอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ในความผิดฐานใด
แต่ก็พอแปลได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ส. เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตาม
ป.อ. มาตรา 300 เพราะตามฟ้องโจทก์ระบุว่า
ช. ได้รับอันตรายสาหัส ช. จึงเป็นผู้เสียหายแต่เฉพาะในข้อหาดังกล่าวเท่านั้น ต่อมาศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาลงโทษจำเลยโดยรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ซึ่งความผิดตาม
ป. อ. มาตรา 300 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ โจทก์ร่วมจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.
มาตรา 193 ทวิ ที่โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษจำคุกนั้น เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษ จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบท
บัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
คำถาม
กรณีที่ทางพิจารณาได้ความว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด
แต่เป็นความผิดต่อผู้เสียหายต่างคนจากที่โจทก์บรรยายในฟ้อง จะถือว่าแตกต่างในข้อที่เป็นสาระสำคัญหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 9663/2555 ตามทางบรรยายฟ้องและตามข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติ ผู้เสียหายไม่ได้มอบหมายให้จำเลยเบิกเงิน 490,000 บาท
จากบัญชีของผู้เสียหายที่เปิดไว้ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาตาก
แต่เป็นเจตนาของจำเลยที่ต้องการได้เงินโดยมิชอบ และหาวิธีการโดยการปลอมใบถอนเงินนำไปหลอกลวงเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว ดังนั้น เงินที่จำเลยได้มาตามฟ้อง แม้จะเป็นเงินที่เจ้าหน้าที่ธนาคารทำพิธีการทางบัญชีของธนาคารหักจากบัญชีของผู้เสียหายก็ตาม
แต่เป็นเพราะจำเลยนำเอกสารปลอมไปหลอกลวงเจ้าหน้าที่ของธนาคารหลงเชื่อ เงินที่จำเลยได้ไปจึงเป็นเงินของธนาคาร
มิใช่เงินของผู้เสียหายตาม ป.พ.พ.มาตรา 672 จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานยักยอกเงินผู้เสียหาย
แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่า
ความผิดฐานยักยอกที่โจทก์ฟ้องแท้จริงแล้วเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
แต่เป็นความผิดต่อผู้เสียหายต่างคนจากที่โจทก์บรรยายในฟ้อง จึงเป็นข้อเท็จจริงแตกต่างจากที่กล่าวในฟ้องในข้อที่เป็นสาระสำคัญ
ไม่อาจลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงได้ตาม
ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคสอง
คำถาม การโต้แย้งเอกสารมหาชน
ฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 533/2551 โฉนดที่ดินเป็นเอกสารมหาชน กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าถูกต้อง ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายอันเป็นคุณต่อผู้ร้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ 2115/2551 โฉนดที่ดินและสารบัญญัติจดทะเบียนโฉนดที่ดินเป็นเอกสารมหาชนที่รัฐออกให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์
ย่อมสันนิษฐานไว้ก่อนว่าได้ออกมาโดยถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127
เมื่อโฉนดที่ดินดังกล่าวมีชื่อจำเลยกับพี่น้องเป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันย่อมสันนิษฐานได้ว่าจำเลยกับพี่น้องมีส่วนเป็นเจ้าของเท่ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1357
การที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้รับส่วนแบ่งมากกว่าพี่น้องคนอื่น จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว
คำพิพากษาฎีกาที่ 3386/2553 เอกสารสัญญาจำนองที่จดทะเบียนโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายเป็นเอกสารมหาชนที่ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าแท้จริงและถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
127 จำเลยมีหน้าที่นำสืบถึงความไม่ถูกต้อง
โดยจำเลยได้ให้การยอมรับว่าได้ทำสัญญาจำนองดังกล่าวกับโจทก์จริง แต่กล่าวอ้างว่า
ตามความจริงนั้นจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์
แต่กู้ยืมเงินจาก ม.โดยไม่คิดดอกเบี้ยกัน
ส่วนเหตุที่ทำสัญญาจำนองกับโจทก์
เนื่องจากโจทก์ขอให้ทำสัญญากันไว้เพื่อไม่ให้พี่น้องของโจทก์และจำเลยต่อว่า ม.
อันเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยแสดงเจตนาทำนิติกรรมสัญญาโดยในใจจริงจำเลยไม่ได้มีเจตนาให้ตนต้องผูกพันตามเจตนาและสัญญาดังกล่าว ซึ่งโจทก์ทราบอยู่แล้ว โจทก์จึงอ้างสัญญานี้มาบังคับจำเลยไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 154
อันเป็นการกล่าวอ้างว่าสัญญาจำนองและหนี้ตามสัญญาไม่สมบูรณ์โดยไม่มีเจตนาทำสัญญากันจริง
ซึ่งจำเลยย่อมมีสิทธินำสืบพยานบุคคลแสดงข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวอ้างได้โดยไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 94
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น