คำถาม เจ้าหนี้โอนสิทธิเรียกร้องให้บุคคลอื่นโดยสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องทำที่สำนักงานของผู้รับโอน
หากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้แก่ผู้รับโอน จะถือว่ามูลคดีเกิดขึ้นที่ใด
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 9430/2554 สัญญาว่าจ้างที่ทำขึ้นระหว่างจำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัด
ว. ระบุว่าทำ ณ ที่ทำการของจำเลยที่อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดพล
แม้ห้างดังกล่าวทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องค่าก่อสร้างตามสัญญาว่าจ้างให้แก่โจทก์
แต่โจทก์ก็เป็นเพียงผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องของห้างฯ
ในอันที่จะบังคับชำระหนี้ตามมูลหนี้เดิมจากจำเลยแทนห้างฯ เมื่อสัญญาที่เป็นมูลหนี้ให้เกิดการโอนสิทธิเรียกร้อง
เกิดขึ้น ณ ที่ทำการของจำเลย และจำเลยปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าก่อสร้างให้แก่่โจทก์
ถือว่ามูลเหตุซึ่งเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องเกิดขึ้น
ณ ที่ทำการของจำเลยซึ่งอยู่ในอำนาจศาลจังหวัดพล
โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4
(1) ไม่ได้
คำถาม จำเลยมิได้ให้การต่อสู้เรื่องโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตไว้ในคำให้การ
แต่ได้กล่าวอ้างไว้ในคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่
ดังนี้ จำเลยจะอุทธรณ์ปัญหาดังกล่าวได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2129/2554
แม้ว่า ป.พ.พ. มาตรา 5
จะบัญญัติไว้ว่า “ ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี
ในการชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต “
แต่มาตรา 6 ก็ได้บัญญัติต่อไปว่า “ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า
บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต “ โจทก์จึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานในกฎหมายดังกล่าวว่าโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยสุจริต
จำเลยทั้งสองจะต้องให้การโดยแจ้งชัดว่าโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตอย่างไร
เพื่อให้เป็นประเด็นข้อพิพาทในคำให้การจึงจะนำสืบหรือยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ฎีกาเพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานในกฎหมายดังกล่าวได้
เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้ในเรื่องโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตไว้ในคำให้การ
แม้จำเลยทั้งสองจะได้กล่าวอ้างไว้ในคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ แต่ไม่ใช่คำให้การจึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท
แม้ว่าปัญหาเรื่องเอกสารใดเป็นตราสารอันต้องปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตาม ป.รัษฎากรจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนและคู่ความมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้แม้จะไม่่ได้ยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง แต่ตามสัญญากู้เงินมีการปิดอากรแสตมป์และประทับตราค่าอากรแสตมป์ซึ่งเป็นวันทำสัญญากู้ยืมดังกล่าวโดยครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว
ส่วนหนังสือต่ออายุสัญญากู้เงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสัญญากู้เงินฉบับเดิมและไม่ใช่ตราสารที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตาม
ป.รัษฎากร จึงรับฟังสัญญากู้เงินและหนังสือต่อสัญญากู้เงินเป็นพยานหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้
โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำถาม
ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์และผู้เสียหายยื่นคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 จะอุทธรณ์ฎีกาข้อเท็จจริงในส่วนแพ่งได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 9036/2554
ในคดีตามคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายเป็นเงิน179,000 บาท จำเลยฎีกาว่าจำเลยต้องรับผิดไม่เกิน 10,000 บาท
จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในคดีส่วนแพ่งจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40
ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์
เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำถาม
ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา
ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นความผิดฐานกระทำอนาจาร ศาลลงโทษได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 11065/2554
จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายกดตัวผู้เสียหายลงกับพื้นใช้มือชกที่บริเวณท้องและปากของผู้เสียหาย แล้วจำเลยฉีกกระชากกระโปรงของผู้เสียหายจนขาด
ผู้เสียหายร้องให้คนช่วยและมีผู้เข้าช่วยเหลือลักษณะการกระทำของจำเลยยังไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะกระทำชำเราผู้เสียหายได้
จึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา
แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278
อันเป็นความผิดที่รวมการกระทำตามที่โจทก์ฟ้องอยู่ด้วย ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามความที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 192 วรรคท้ายได้
คำถาม
คดีอาญาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คู่ความจะฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายได้หรือไม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่
10113/2554 ความผิดข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 289 (4) ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 220
ความผิดข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (5) ประกอบมาตรา 65 วรรคสอง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปี
จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 218 วรรคสอง ที่โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนด้วย
และขณะกระทำความผิดจำเลยมีสติสามารถรู้ผิดชอบชั่วดีสมควรพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว
เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3
เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น