วิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม , พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ,พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 สามารถค้นหาคำพิพากษาฎีกาภายใน 1o ปี หลังสุดได้แล้วครับ จะเร่งเพิ่มวิชาต่อไปให้เสร็จตามมาเรื่อยๆครับ

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา
www.lawbooks-by-mrt.blogspot.com

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

บทบรรณาธิการ ภาค 2 สมัยที่65 เล่ม15


คำถาม  คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้เข้าเป็นจำเลยร่วม  เข้าสวมสิทธิแทนโจทก์หรือให้โจทก์นำพยานหลักฐานเข้าสืบก่อน  เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่
คำตอบ  มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่  5018/2554คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้เข้าเป็นจำเลยร่วมเป็นคำสั่งก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี  ทั้งมิใช่คำสั่งตามที่ระบุไว้ใน  ป.วิ..  มาตรา  227  และมาตรา  228  จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา  เมื่อโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาตาม  ป.วิ..  มาตรา  226  (2)  ประกอบมาตรา  247  โจทก์จึงอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นมิได้
คำพิพากษาฎีกาที่  618/2551  คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้บริษัท  บ.  เข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ในขณะที่คดีที่จำเลยที่  2  ร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ยังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  226
คำพิพากษาฎีกาที่  338/2553คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำพยานหลักฐานเข้าสืบก่อนเป็นคำสั่งที่มิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง  ยังต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณากันต่อไป  จึงเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา  โจทก์ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้จึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ได้  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  226  วรรคหนึ่ง  (2)
คำถาม  การอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ฎีกา  จะอยู่ในข้อบังคับข้อห้ามมิให้คู่ความ  อุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม  ป.วิ..  มาตรา  224,  248  หรือไม่
คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้
คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่  ท.2284/2553ฎีกาของจำเลยมิใช่เป็นฎีกาในเนื้อหาของคดี  แต่เป็นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาเวลายื่นอุทธรณ์  ก็อยู่ในบังคับข้อห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  248  วรรคสอง
คำพิพากษาฎีกาที่  650/2554  จำเลยฎีกาว่า  ตามคำร้องของจำเลยเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์พิเศษ  จำเลยพยายามหาเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลในชั้นอุทธรณ์  แต่ยังไม่สามารถจะหาเงินดังกล่าวได้  ซึ่งหากศาลไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์จะทำให้จำเลยเสียสิทธิในการดำเนินคดี  เป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าพฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษตาม  ป.วิ..  มาตรา  23  เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง  แม้เป็นปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น  แต่เมื่อทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท  จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม  ป.วิ..248  วรรคหนึ่ง
คำถาม  คดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินหลายแปลง  การพิจารณาว่าคดีต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่  ต้องแยกพิจารณาเฉพาะที่ดินแต่ละแปลงหรือไม่
คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่  3682/2554  โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทรวม  8  โฉนดแก่โจทก์ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท  จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า  ที่ดินพิพาททั้งแปดแปลงเป็นของจำเลย  กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามคำฟ้องเป็นคดีมีทุนทรัพย์จึงต้องแยกออกเฉพาะที่ดินแต่ละแปลง  จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค  3  พิพากษาว่าที่ดินพิพาทรวม  2  แปลง  เป็นของจำเลย  ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์สำหรับที่ดินทั้งสองแปลง  แต่ละแปลงมีราคาไม่เกิน  50,000  บาท  จำเลยอุทธรณ์ว่า  ที่ดินทั้งสองแปลงเป็นของจำเลย  อันเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง  จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม  ป.วิ..  มาตรา  224  วรรคหนึ่ง  แม้ศาลอุทธรณ์ภาค  3  รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ  ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศษลอุทธรณ์ภาค  3  ย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม  ป.วิ..  มาตรา  249  วรรคหนึ่ง  ส่วนที่ดินอีก  6  แปลง  แต่ละแปลงมีราคาไม่เกิน  200,000  บาท  จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม  ป.วิ..  มาตรา  248
คำถามคดีที่มีโจทก์หลายคนร่วมกันฟ้องจำเลย  โดยโจทก์แต่ละคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวเรียกเอาส่วนของตน  การพิจารณาทุนทรัพย์ว่าจะต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ต้องพิจารณาแยกต่างหากจากกันหรือรวมกัน
คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่  1635/2552  โจทก์ทั้งสามร่วมกันฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีเดียวกันเพราะโจทก์ทั้งสามมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  59  แต่โจทก์ที่  1  อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของ  ม.  บิดาโจทก์ที่  1  เมื่อ  ม.  ถึงแก่ความตายที่ดินเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ที่  1  ต่อมาโจทก์ที่  1  แบ่งที่ดินออกเป็น  ส่วน  ส่วนที่  1  เนื้อที่  9  ไร่  93  ตารางวา  ราคาประมาณ  45,000  บาท  โจทก์ที่  1  ครอบครองทำประโยชน์  ส่วนที่  2  เนื้อที่  7  ไร่  2  งาน  53  ตารางวา  ราคาประมาณ  40,000  บาท  โจทก์ที่  โอนสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ที่  2  และส่วนที่  3  เนื้อที่  7  ไร่  3  งาน  39  ตารางวา  ราคาประมาณ  40,000  บาท  โจทก์ที่  1  โอนสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ที่  3หลังจากนั้นโจทก์ทั้งสามขอออกโฉนดที่ดินแต่ละส่วนของแต่ละคน  เป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนต่างครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามส่วนที่แต่ละคนขอรังวัดออกโฉนด  อันเป็นการที่โจทก์แต่ละคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวตามมาตรา  55  การพิจารณาทุนทรัพย์ว่าต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา  224  วรรคหนึ่ง  จึงต้องพิจารณาทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน
คำพิพากษาฎีกาที่  2171/2553โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นทายาทของ  ส.  และ  ข.  ฟ้องขอแบ่งมรดกจากจำเลยโดยให้จดทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินมรดกระหว่างจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกกับจำเลยในฐานะส่วนตัว  และเพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินระหว่างจำเลยกับจำเลยร่วมทั้งสี่  จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์และเป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองแต่ละคนใช้สิทธิฟ้องเรียกส่วนแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยเป็นการเฉพาะตัว  โจทก์แต่ละคนชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลได้โดยลำพัง  แม้โจทก์ทั้งสองจะฟ้องคดีรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกต่างหากจากกัน  คู่ความตีราคาทรัพย์พิพาทตามคำขอท้ายฟ้อง  210,000  บาท  ฉะนั้นทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนจึงคิดเป็นเงินเพียง  52,500  บาท  ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงเว้นแต่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ได้รับรองให้ฎีกา  ทั้งนี้ตาม  ป.วิ..  มาตรา  248  วรรคหนึ่ง  เมื่อจำเลยและจำเลยร่วมทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค  รับรองให้ฎีกาพร้อมกับฎีกาตามมาตรา  248  วรรคสี่  แล้ว  ศาลชั้นต้นชอบที่จะส่งคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค  3  พิจารณาว่าจะรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ก่อนแล้วจึงมีคำสั่งว่าจะรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ก่อนแล้วจึงมีคำสั่งว่าจะรับฎีกาหรือไม่  การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่ไม่ได้นั่งพิจารณาคดีสั่งยกคำร้องและสั่งรับฎีกาดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นการผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณาที่ไม่ชอบเนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดีศาลฎีกามีอำนาจเพิกถอนคำสั่งของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องและสั่งรับฎีกาดังกล่าวตาม  ป.วิ..  มาตรา  243  (1)  และมาตรา  27  ประกอบด้วยมาตรา  247
คำถาม  ฟ้องว่าเป็นตัวการร่วมกระทำความผิด  ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด  ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้หรือไม่เพียงใด
คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่  6633/2554  โจทก์บรรยายฟ้องว่า  จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและร่วมกันกระทำความฐานพาอาวุธไปในเมือง  หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร  แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่  1  เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่  2  กระทำความผิด  มิใช่เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกันตาม  ป..  มาตรา  83  ดังที่โจทก์ฟ้อง  จึงลงโทษจำเลยที่  1  ฐานเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและร่วมกันกระทำความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง  หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ  โดยไม่มีเหตุสมควรตามที่โจทก์ฟ้องไม่ได้  เพราะข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องในข้อสาระสำคัญตาม  ป.วิ..  มาตรา  192  วรรคสอง  แต่การกระทำของจำเลยที่  1  ถือได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่  ตามป..  มาตรา  86  ด้วย  ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่  1  ฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ตาม  ป.วิ..  มาตรา  192  วรรคท้าย
คำถาม  คำพิพากษาศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยในเรื่องของกลางซึ่งโจทก์มีคำขอให้ริบ  โจทก์ไม่อุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์จะสั่งริบของกลางได้หรือไม่
คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้  ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่  7713/2554  โจทก์มีคำขอให้ริบเครื่องสูบน้ำของกลางที่จำเลยที่  1  และที่  ใช้ในการกระทำความผิด  แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยว่าจะริบเครื่องสูบน้ำหรือไม่  ไม่ใช่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วแต่ไม่เห็นสมควรริบเครื่องสูบน้ำของกลาง  คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วย  ป.วิ..  มาตรา  186  (9)  แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย  ศาลอุทธรณ์ภาค  3  จึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม  ป.วิ..  มาตรา  195  วรรคสอง  และการริบทรัพย์สิน  แม้ตาม  ป..  มาตรา  18  จะบัญญัติว่าเป็นโทษสถานหนึ่ง  แต่เป็นโทษที่มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญต่างกับโทษสถานอื่น  ซึ่งแม้จำเลยที่  1  และที่  2  จะไม่ได้กระทำความผิดหรือกระทำความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ  ศาลก็มีอำนาจสั่งริบทรัพย์ของกลางได้  จึงไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่  1  และที่  2  (คำพิพากษาฎีกาที่  3299/2547,  6247/2545,714/2542,  1020/2541  วินิจฉัยเช่นกัน)
                                                                                                   นายประเสริฐ       เสียงสุทธิวงศ์
                                                                                                                     บรรณาธิการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น