คำถาม
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบถ้วน ขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยและทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วน
ศาลวินิจฉัยให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามฟ้องโดยให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ได้ แต่มิได้พิพากษาว่า
หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ ดังนี้
โจทก์จะมีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 10078/2551 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดต่อโจทก์โดยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี
สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกันและโจทก์ประสงค์บังคับจำนองเอาแก่ที่ดินตามฟ้อง อันเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งห้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะลูกหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าว เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อันเป็นกฎหมายสารบัญญัติ
และเป็นคดีมีข้อพิพาท ดังนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีเข้าสู่ศาล
ศาลย่อมมีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติในการที่จะวินิจฉัยและพิพากษาคดี
โดยหากวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งห้าเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดต่อโจทก์ตามกฎหมายสารบัญญัติ
ก็ย่อมพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์ตามสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อจำเลยทั้งห้าในทางแพ่ง
สำหรับคดีนี้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
รวมทั้งให้โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินตามฟ้องในฐานะเจ้าหนี้จำนอง
ผู้ทรงทรัพยสิทธิจำนองเหนือที่ดินตามฟ้องตามกฎหมายสารบัญญัติด้วย ความรับผิดดังกล่าวของจำเลยทั้งห้าก็คือ
หนี้ตามคำพิพากษา หากจำเลยทั้งห้าในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบ
โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ย่อมมีสิทธิบังคับคดี และในกรณีหนี้ตามคำพิพากษาไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบ
โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ย่อมมีสิทธิบังคับคดี
และในกรณีหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้เงินการบังคับคดีย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
271 มาตรา 271 มาตรา 278 และมาตรา 282 คือการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยทั้งห้าหรือบุคคลภายนอกซึ่งเป็นลูกหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องของจำเลยทั้งห้า
เพื่อนำออกขายทอดตลาดและนำเงินที่ได้มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์
อันเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่กฎหมายให้สิทธิแก่โจทก์โดยสืบเนื่องจากผลแห่งคำพิพากษา
และไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลจำต้องระบุสิทธิในการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยทั้งห้าไว้ในคำพิพากษาด้วย
ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามฟ้อง
และโจทก์ก็ได้มีคำขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งห้า
การที่คำพิพากษามิได้ระบุให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดอันเป็นขั้นตอนในการบังคับคดี
จึงหาเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่
โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องและอุทธรณ์ฎีกาในเหตุดังกล่าวโดยตรงขึ้นมายังศาลสูงก็ชอบที่ศาลจะต้องกล่าวในคำพิพากษาให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะบังคับคดียึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าไว้ด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนแก่คู่ความและเจ้าพนักงานบังคับคดีในการปฏิบัติให้บรรลุผลตามคำพิพากษาในเนื้อหาคดี ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษาให้ครบถ้วนตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์
คำถาม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เพิกถอนหมายจับผู้ต้องหา ผู้ต้องหาจะอุทธรณ์คำสั่งได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 479/2555 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอออกหมายจับผู้ต้องหา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ออกหมายจับผู้ต้องหาฉบับลงวันที่ 3 มิถุนายน 2551 ต่อมาผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับดั่งกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ต้องหา ผู้ต้องหายื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งให้เพิกถอนหมายจับผู้ต้องหา ผู้ร้องฎีกา
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องขอเพิกถอนหมายจับผู้ต้องหานั้น ผู้ต้องหามีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อขอให้เพิกถอนหมายจับผู้ต้องหาได้หรือไม่
เห็นว่า ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 24 บัญญัติว่า “
ให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอำนาจดังต่อไปนี้
(1) ออกหมายเรียก หมายอาญา
หรือหมายสั่งให้ส่งคนมาจากหรือไปยังจังหวัดอื่น
(2) .....................................ฯลฯ..............................................
สำหรับอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวในการออกหมายอาญาประเภทหมายจับนั้น จะต้องปรากฏเหตุตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 66 ซึ่งบัญญัติว่า “
เหตุที่จะออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้
(1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญา
ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี หรือ
(2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี......” และตามมาตรา 59/1 บัญญัติต่อไปว่า “
ก่อนออกหมาย จะต้องปรากฏพยานหลักฐานตามสมควรที่ทำให้ศาลเชื่อได้ว่ามีเหตุที่จะออกหมายตามมาตรา 66 มาตรา 69 หรือมาตรา 71.........”
จากบทบัญญัติดังกล่าว เห็นว่า การออกหมายจับผู้ต้องหาตามคำร้องของพนักงานสอบสวนเป็นอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวในศาลชั้นต้น
เพื่อให้การสวบสวนผู้ต้องหาดำเนินไปตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างรวดเร็ว
ต่อเนื่อง และเป็นธรรม โดยไม่มีปัญหาติดขัด ล่าช้าหรือมีอุปสรรคในการดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรมขั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 134 โดยที่ขณะนั้นยังไม่เป็นการฟ้องคดีมาสู่การพิจารณาของศาล แต่เป็นอำนาจพิเศษที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้พิพากษาคนเดียวในศาลชั้นต้นมีอำนาจออกหมายจับผู้ต้องหาตามคำร้องของพนักงานสอบสวนได้ภายใต้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 66 และมาตรา 59/1 โดยเฉพาะ จึงไม่ใช่เรื่องที่กฎหมายมีความประสงค์จะให้ผู้ต้องหายื่นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 เพราะจะทำให้การดำเนินงานกระบวนการยุติธรรมประสบอุปสรรคและเกิดความล่าช้า
ดังจะเห็นได้จากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 59 วรรคสาม บัญญัติเป็นใจความว่า “
ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนซึ่งมีเหตุอันควรโดยผู้ร้องขอไม่อาจไปพบศาลได้ ผู้ร้องขออาจร้องขอต่อศาลทางโทรศัพท์
โทรสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ
ประเภทอื่นที่เหมาะสมเพื่อขอให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหาได้
ในกรณีเช่นว่านี้เมื่อศาลสอบถามจนปรากฏว่ามีเหตุที่จะออกหมายจับได้ตามมาตรา 59/1 และมีคำสั่งให้ออกหมายนั้นแล้ว.........”
และตามวรรคสี่ ตอนท้าย บัญญัติว่า “.......หากความปรากฏต่อศาลในภายหลังว่าได้มีการออกหมายจับไปโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ศาลอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนหมายจับหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงหมายจับได้ ทั้งนี้
ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ร้องขอจัดการแก้ไขเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องตามที่เห็นสมควรก็ได้
”
โดยบทบัญญัติของมาตรานี้ก็ได้ระบุวิธีการให้ศาลชั้นต้นซึ่งออกหมายจับมีอำนาจโดยตรงในการแก้ไขเยียวยาความเสียหายจากการออกหมายจับผู้ต้องหาโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายไว้เป็นการเฉพาะแล้ว
ทั้งมิได้ระบุให้สิทธิแก่ผู้ต้องหาในการยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นแต่อย่างใด
แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างชัดเจนว่า มีวัตถุประสงค์จะให้กระบวนการยุติธรรมในชั้นการขอออกหมายจับ
การขอเพิกถอนหมายจับตลอดจนการแก้ไขเพื่อเยียวยาความเสียหายแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องยุติไปในระดับศาลชั้นต้นเท่านั้น อีกประการหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 67
ยังได้บัญญัติว่า “
หมายจับคงใช้ได้อยู่จนกว่าจะจับได้
เว้นแต่ความผิดอาญาตามหมายนั้นขาดอายุความหรือศาลซึ่งออกหมายนั้นได้ถอนหมายคืน” ดังนั้น หากผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนแล้ว
หมายจับก็ย่อมสิ้นผลไปในตัว หรือหากคดีขาดอายุความ
หรือศาลชั้นต้นซึ่งออกหมายจับนั้นได้ถอนหมายจับคืนเสียแล้ว หมายจับก็ย่อมสิ้นผลเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุผลดังที่ได้วินิจฉัยประกอบกันมาผู้ต้องหาจึงไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เพิกถอนหมายจับผู้ต้องหาต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของผู้ต้องหา
เป็นการสั่งรับอุทธรณ์โดยไม่ชอบ และศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบที่จะไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ต้องหาเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1
รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ต้องหานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
เหตุใดไม่ลงบท บก.ให้ครบครับ ผมติดตามอยู่ครับ
ตอบลบต้องขออภัยด้วยครับ จะพยายามเร่งลงให้ครบนะครับ ตอนนี้ผมทำงานประจำไปด้วย และช่วงนี้มีงานที่บ้านค่อนข้างเยอะอะครับ เลยไม่ค่อยมีเวลา ที่สำคัญมีติดขี้เกียจนิดนึงอะครับ^^ จะลงครบแน่นอนครับ
ลบ