วิชา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม , พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ,พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 สามารถค้นหาคำพิพากษาฎีกาภายใน 1o ปี หลังสุดได้แล้วครับ จะเร่งเพิ่มวิชาต่อไปให้เสร็จตามมาเรื่อยๆครับ

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา

จำหน่ายเอกสารรวมคำพิพากษาฎีกา 10 ปี ล่าสุด แยกเป็นรายวิชา
www.lawbooks-by-mrt.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

บทบรรณาธิการ ภาค2 สมัยที่65 เล่ม9

                    คำถาม   การอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีอาญา การพิจารณาอัตราโทษว่าเป็นคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่  มีหลักเกณฑ์อย่างไร
                    คำตอบ  มีคำพิพากษาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                    1. การพิจารณาว่าคดีอาญาเรื่องใดต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ หรือไม่  ย่อมต้องดูที่อัตราโทษตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติที่โจทก์ขอให้ลงโทษเป็นสำคัญ
                    คำพิพากษาฎีกาที่  3170/2549  โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ซึ่งมีระวางโทษสองในสามของโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80  เมื่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 6 ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับแก่คดีเยาวชนและครอบครัวและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ บัญญัติว่า ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริง ในคดีซึ่งอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  จำเลยยังมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ เพราะการอุทธรณ์คดีอาญาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น ศาลจะต้องพิจารณาอัตราโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายตามฟ้องว่าต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่  ไม่ใช่ตามความผิดที่พิจารณาได้ความ
                   หมายเหตุ คดีนี้  ศาลชั้นต้นเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็ก  ซึ่งไม่เข้าข้อยกเว้นที่ให้จำเลยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา  193 ทวิ หากคดีที่โจทก์ฟ้องมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มีคำพิพากษาฎีกาที่ 4905/2536, 4457/2539, 2590/2540  และ 2063/2549 วินิจฉัยเช่นกัน)
                    กรณีที่บทมาตราในคำขอท้ายฟ้องมีอัตราโทษจำคุกเกินสามปี หรือปรับเกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำและปรับ แต่คำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามบทมาตราดังกล่าว ซึ่งไม่อาจลงโทษตามมาตราดังกล่าวได้  คงลงโทษได้แต่เพียงบทมาตราที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำและปรับ  ต้องถือว่าเป็นคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 193 ทวิ
                    คำพิพากษาฎีกาที่  494/2551  ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาเอารถยนต์ของโจทก์ไปโดยทุจริต  จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ โจทก์อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำความผิดฐานลักทรัพย์เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 335 หากโจทก์นำสืบได้ความว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิด ศาลย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ตามที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แต่บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่กำหนดเกี่ยวกับการพิพากษาของศาลซึ่งเป็นคนละกรณีกับสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงของโจทก์  ซึ่งการอุทธรณ์ดังกล่าวต้องพิจารณาจากอัตราโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายตามที่โจทก์ขอให้ลงโทษหรือที่กล่าวในคำฟ้อง เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2541 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ลักรถยนต์ของโจทก์ไป และมีคำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 335 ก็ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 335 ได้  คงลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 334 ซึ่งมีอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาทเท่านั้น จึงต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ
                     คำพิพากษาฎีกาที่  10589/2553  โจทก์ทั้งสามบรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 2 และที่ 3 เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย และร่วมกันทำร้ายโจทก์ที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ศีรษะแตก  หน้าผากแตก หางตาขวาแตก จมูกแตก และฟันหัก  4  ซี่ ได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตาม ป.อ.มาตรา 295,  297  แม้ฟ้องโจทก์ทั้งสามมีคำขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดตามมาตรา 297 แต่เมื่อฟ้องโจทก์ทั้งสามมิได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร  จึงลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดตามมาตรา 297 ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดตามมาตรา 295 เท่านั้น เมื่อความผิดแต่ละกระทงกำหนดโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ ที่โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามฟังได้ว่า จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันทำร้ายโจทก์ทั้งสามนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น อันเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว  ที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามและศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับวินิจฉัย จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย  แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225     
                      2. การอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีอาญาจะต้องพิจารณาอัตราโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายสำหรับข้อหาแต่ละกระทงความผิด       
                      ก. กรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท  ถ้าบทหนักไม่ต้องห้ามอุทธรณ์  ก็ถือว่าทุกบทไม่ต้องห้าม
                      คำพิพากษาฎีกาที่  3154/2543  คดีอาญาเรื่องใดจะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ต้องพิจารณาอัตราโทษที่กฎหมายบัญญัติสำหรับข้อหาแต่ละกระทงความผิดเป็นสำคัญ เมื่อความผิดในกระทงนั้นมีความผิดหลายบทรวมอยู่ด้วย  ถ้าบทหนักไม่ต้องห้าม ก็ถือว่าทุกบทไม่ต้องห้าม โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน เมื่อความผิดตาม ป.อ. มาตรา 365 (2) ประกอบด้วยมาตรา 362  ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม  ป.วิ.อ.มาตรา 193 ทวิ ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 358 ซึ่งเป็นบทเบา แม้จะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ก็ย่อมไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย
                       คำพิพากษาฎีกาที่  4766/2533  แม้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี ปรับไม่เกินหกพันบาท อันจะต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ ก็ตาม แต่ความผิดดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกันกับความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 ซึ่งมีอัตราโทษอันเป็นบทหนัก จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งไม่ต้องห้ามอุทธรณ์  ดังนั้น ความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
                       คำพิพากษาฎีกาที่  4911/2537 คดีอาญาจะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ  หรือไม่นั้น ต้องดูอัตราโทษตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติที่โจทก์ขอให้ลงโทษเป็นสำคัญ  ส่วนอัตราโทษตามบทบัญญัติที่พิจารณาได้ความหาใช่ข้อที่จะนำมาพิจารณาในชั้นนี้ไม่ อุทธรณ์ของโจทก์สำหรับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 365(2) ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง  ส่วนความผิดตามบทมาตราอื่น แม้จะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ก็เป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา 365 (2) ซึ่งไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ความผิดตามบทมาตราอื่นจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย
                       มีคำพิพากษาฎีกาที่  95/2521, 1724/2526, 2641 - 2642/2529, 5382/2536, 4911/2538 วินิจฉัยเช่นกัน
                       ข. กรณีต่างกรรมกัน  มิใช่กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทนั้น  การพิจารณาว่าอุทธรณ์ของโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ หรือไม่  ต้องพิจารณาความผิดเป็นรายกระทง  มิใช่นำโทษแต่ละกระทงมารวมเข้าด้วยกัน เพื่อให้มีโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่าสามปี (คำพิพากษาฎีกาที่  3090/2547)
                        คำพิพากษาฎีกาที่   741/2527   โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาความผิดฐานพาอาวุธมีดไปในเมืองโดยไม่มีเหตุสมควรตาม ป.อ. มาตรา 371 กับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297  เป็นกรณีต่างกรรมกัน มิใช่กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท  การที่ศาลอุทธรณ์รับพิจารณาความผิดตามมาตรา 297  จึงไม่มีเหตุที่จะต้องรับพิจารณาความผิดตามมาตรา 371 ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 193 ทวิ ยุติไปแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา  371 ด้วย จึงไม่ชอบ (ข้อหาความผิดฐานพกอาวุธมีดปลายแหลมติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตาม ป.อ. มาตรา 371 มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 100 บาท ซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วไม่เชื่อว่าจำเลยมีมีด และใช้มีดนั้นแทงทำร้ายผู้เสียหายหรือร่วมกับผู้อื่นทำร้ายผู้เสียหายและพิพากษายกฟ้อง  ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 193 ทวิ )
                       คำพิพากษาฎีกาที่  3852/2553  ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตาม ป.อ.มาตรา 390  มีระวางโทษจำคุกไมเกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 193 ทวิ ทั้งโจทก์บรรยายฟ้องข้อหาความผิดฐานนี้กับความผิดฐานมีและฐานพาอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นกรณีต่างกรรมกันโดยมิใช่เป็นเรื่องกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับพิจารณาความผิดฐานมีและฐานพาอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต  จึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะต้องรับพิจารณาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 390 ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และยุติไปแล้ว  การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้วินิจฉัยความผิดตาม ป.อ. มาตรา 390 และพิพากษาจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษและไม่ปรับจึงไม่ชอบ  และเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย  ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา  195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเมื่อจำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษในความผิดดังกล่าว  จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา  15  ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย


                                                                                               นายประเสริฐ  เสียงสุทธิวงศ์
                                                                                   บรรณาธิการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น