เนื่องด้วยหม่อมเฉลิมชัย
เกษมสันต์ กรรมการเนติบัณฑิตยสภา เลขาธิการสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2556 นับเป็นการสูญเสียบุคลากรอันมีคุณค่ายิ่งแก่วงการกฎหมายไป
ท่านอาจารย์หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์
เป็นผู้บรรยายกฎหมายแพ่งลักษณะมรดก ภาคปกติ
ที่สำนักอบรมฯ มาตั้งแต่สมัยที่ 51 ปีการศึกษา 2541 และได้เรียบเรียงตำราคำอธิบายกฎหมายแพ่ง
ลักษณะมรดกให้สำนักอบรมฯ จัดพิมพ์หนังสือของท่านได้รับความนิยมในแวดวงนักกฎหมาย
จนจำหน่ายหมดไปอย่างรวดเร็วและได้จัดพิมพ์ขึ้นใหม่หลายครั้ง
สำนักอบรมฯ
ขอไว้อาลัยแก่การจากไปของท่านอาจารย์มา ณ โอกาสนี้
คำถาม
ทนายความทำหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองแก่ผู้จำนองโดยผู้รับจำนองไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ทนายความบอกกล่าวบังคับจำนอง
แต่ต่อมาผู้รับจำนองได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินคดีแก่ผู้จำนอง ดังนี้ การบอกกล่าวบังคับจำนองชอบหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 4015/2555 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 มิได้บัญญัติว่า
การบอกกล่าวบังคับจำนองต้องทำเป็นหนังสือ จึงไม่ตกอยู่ในบังคับมาตรา 798
วรรคหนึ่ง ที่กำหนดให้การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้นต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใด แม้โจทก์จะไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ทนายความบอกกล่าวบังคับจำนองก็ตาม
แต่การที่ทนายโจทก์ทำหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยเป็นการกระทำในนามของโจทก์
ทั้งต่อมาโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินคดีแก่จำเลย
แสดงให้เห็นว่าโจทก์ยอมรับเอาการบอกกล่าวบังคับจำนองของทนายโจทก์เป็นการบอกกล่าวในนามของโจทก์ ถือได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นตัวการซึ่งให้สัตยาบันแก่การกระทำของทนายโจทก์ ซึ่งเป็นตัวแทนที่บอกกล่าวบังคับจำนองตาม ป.พ.พ.
มาตรา 823 วรรคหนึ่งแล้ว จึงถือว่าโจทก์ในฐานะผู้รับจำนองมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยผู้จำนองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา728โดยชอบแล้ว
คำถาม ซื้อบ้านจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต
และรื้อถอนบ้านไปแล้ว หากบ้านพิพาทจำนองแก่ผู้รับจำนองไว้ก่อน
สิทธิของผู้รับจำนองบ้านพิพาทจะระงับสิ้นไปหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1587/2555
โจทก์รับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง คือบ้าน ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าวตาม
ป.พ.พ. มาตรา 718 จำนองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจำนอง
และเมื่อบ้านพิพาทเป็นโรงเรืองซึ่งมีอยู่ในขณะที่จดทะเบียนจำนอง
การจำนองย่อมครอบคลุมไปถึงบ้านพิพาทด้วย
แม้จำเลยจะซื้อบ้านพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต
แต่สิทธิของจำเลยได้มาภายหลังจากที่โจทก์รับจำนองบ้านพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเหตุที่จะทำให้การจำนองระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อมีเหตุตาม
ป.พ.พ. มาตรา 744 เท่านั้น
การที่จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทไปไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ในทรัพย์จำนองระงับสิ้นไปได้
โจทก์จึงคงมีสิทธิบังคับจำนองเอาแก่บ้านพิพาทที่จำเลยซื้อได้ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 744 และมาตรา 702 วรรคสอง การที่จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทภายหลังจากที่โจทก์รับจำนองไว้แล้ว
แม้จะได้มาโดยสุจริตและได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330
ก็หาทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่เดิมเสียไป
จำเลยไม่มีสิทธิในบ้านพิพาทดีกว่าโจทก์
จำเลยเป็นแต่เพียงผู้ซื้อบ้านพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลมิใช่เป็นผู้จำนองหรือคู่สัญญากับโจทก์ผู้รับจำนอง
จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในฐานเป็นผู้จำนองต่อโจทก์
การที่จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทขายให้แก่โจทก์
และเมื่อเป็นหนี้เงินที่จำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ตาม
ป.พ.พ.มาตรา 224 ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
นับแต่วันที่รื้อถอนบ้านพิพาทเป็นต้นไป
คำถาม ผู้รับโอนสิทธิการเช่าจากผู้เช่า (สัญญาเช่ามีข้อตกลงให้เช่าช่วงได้) จะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าช่วงที่ผู้เช่าช่วงค้างชำระผู้เช่าเดิมอยู่ก่อนที่จะได้รับโอนสิทธิการเช่าจากผู้เช่าเดิมหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 12753/2555 หนังสือสัญญาโอนสิทธิการเช่าระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด
อ. กับโจทก์ระบุว่าผู้รับโอนสิทธิตกลงรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ของผู้ให้เช่า
ผู้เช่า ผู้เช่าช่วง ไปทันทีนับแต่วันที่ 1
ตุลาคม 2545 เป็นต้นไป ย่อมหมายถึงสิทธิทั้งหลายที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ.
ผู้โอนมีอยู่ทั้งก่อนและหลังวันดังกล่าว ให้ตกเป็นของโจทก์ผู้รับโอนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545 เป็นต้นไป แม้จะไม่ได้ระบุไว้ว่าหมายถึงค่าเช่าช่วงที่จำเลยค้างชำระก่อนวันโอนแต่ก็เป็นหนึ่งในสิทธิและหน้าที่ทั้งหลายที่มีอยู่
เมื่อข้อสัญญาไม่ได้ระบุยกเว้นไว้ย่อมไม่แยกต่างหากจากสิทธิทั้งหลายที่จะตกได้แก่โจทก์ผู้รับโอน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระอยู่ก่อนการรับโอนสิทธิการเช่าและภายหลังการรับโอนสิทธิการเช่าจากจำเลยตามฟ้อง
โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเช่าช่วงที่จำเลยค้างชำระแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด
อ. ผู้โอนก่อนวันที่โจทก์รับโอนสิทธิและภายหลังที่โจทก์รับโอนสิทธิซึ่งจำเลยค้างชำระ
เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระค่าเช่าช่วงทั้งหมดภายใน 7
วัน มิฉะนั้นถือเอาหนังสือบอกกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญา และสัญญาเช่าเป็นอันระงับ จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวแต่ไม่ชำระตามที่กำหนด
และนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 15
วัน นับแต่วันครบกำหนดการบอกกล่าว ถือว่าการเช่าช่วงรายเดือนมีการบอกกล่าวเกิน 15
วันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 560 วรรคสอง ถือเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าช่วงโดยชอบแล้ว สัญญาเช่าช่วงจึงเลิกกันเพราะจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไป การที่จำเลยยังคงอยู่ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยพร้อมบริวารและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของตนออกไปจากที่ดินที่เช่า
ทั้งมีสิทธิเรียกค่าเช่าช่วงค้างชำระทั้งหมดและค่าเสียหาย
คำถาม การนับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์
จะนับระยะเวลาการครอบครองในระหว่าง ที่เป็นที่ดินมือเปล่ารวมเข้ากับระยะเวลาภายหลังที่ดินมีโฉนดแล้วหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2270/2554 การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองตาม
ป.พ.พ.
มาตรา 1382 จะต้องเป็นการครอบครองที่ดินที่ผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์และครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกนเป็นเวลา 10 ปี
ผู้ร้องจะนับระยะเวลาการครอบครองในระหว่างเป็นที่ดินมือเปล่าก่อนที่ดินพิพาทออกโฉนดรวมเข้ากับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ภายหลังที่ดินมีโฉนดแล้วหาได้ไม่
ขณะที่มีการออกโฉนดที่ดินในที่ดินพิพาทปี 2529
ผู้ร้องไม่ได้คัดค้านอย่างใด ต่อมาปี 2533 ผู้ร้องเข้าไปตักดินในที่ดินพิพาท ผู้คัดค้านห้ามแล้วไม่หยุด ผู้คัดค้านจึงนำโฉนดที่ดินไปแจ้งความที่สถานีตำรวจว่าผู้ร้องบุกรุก
ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพิพาทและแสดงออกว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อปี 2533 เมื่อนับระยะเวลาจนถึงผู้ร้องยื่นคำร้องขอคดีนี้เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2541 ยังไม่ครบ 10 ปี ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง
คำถาม การตรวจค้น
การจับ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้ถูกกระทำมีสิทธิป้องกันสิทธิของตนหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 8722/2555 บริเวณที่เกิดเหตุอยู่บนถนนสุทธาวาสไม่ใช่หลังซอยโรงถ่านที่มีอาชญากรรมประเภทความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
และความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เป็นประจำ
และจำเลยไม่มีท่าทางเป็นพิรุธคงเพียงแต่นั่งโทรศัพท์อยู่ การที่สิบตำรวจโท ก.
และสิบตำรวจตรี พ. อ้างว่าเกิดความสงสัยในตัวจำเลยจึงขอตรวจค้น
โดยไม่มีเหตุผลสนันสนุนว่าเพราะเหตุใด จึงเกิดความสงสัยในตัวจำเลย จึงเป็นข้อสงสัยที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกเพียงอย่างเดียว
ถือไม่ได้ว่ามีเหตุอันควรสงสัยตามกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 93 ที่จะทำการตรวจค้นได้ การตรวจค้นตัวจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยซึ่งถูกกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิโต้แย้งและตอบโต้เพื่อป้องกันสิทธิของตนตลอดจนเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใด
ๆ อันสืบเนื่องจากการปฏิบัติที่ไม่ชอบได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 136 ,มาตรา 138 วรรคสอง และมาตรา 367
คำถาม ผู้ร่วมวางแผนในการกระทำความผิด หากขณะกระทำความผิดไม่ได้รออยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุที่จะมีเวลาเพียงพอที่จะช่วยเหลือพวกในขณะกระทำความผิดได้
จะถือเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 74/2555 แม้จำเลยที่ 2 จะร่วมวางแผนกับจำเลยที่ 1 และ
ส. มาก่อนเกิดเหตุเพื่อที่จะมากระทำความผิดก็ตาม
แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 และ ส. กระทำความผิดเอาทรัพย์ของผู้ตายไป จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์แยกทางออกไปก่อน
ไม่ได้รออยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุที่จะมีเวลาเพียงพอที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 1
และ ส. ในขณะกระทำความผิดได้
จึงไม่ใช่เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำอันจะเป็นตัวการในการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และ ส. ได้ จำเลยที่ 2 คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการ กระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และ ส. เท่านั้น
หาใช่ร่วมกันเป็นตัวการกระทำความผิดชิงทรัพย์ด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป
อันจะเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ด้วยไม่
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น