คำถาม
การบังคับเอาทรัพย์สินของลูกหนี้ไปเพียงเท่าที่คิดว่าพอกับที่ลูกหนี้เป็นหนี้
โดยไม่ได้เอาทรัพย์สินอื่นที่มีค่ามากไปด้วย จะถือว่ามีเจตนาทุจริตหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 674/2554
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า
จำเลยกับพวกเข้าไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บและบังคับเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปเท่าที่คิดว่าพอกับค่าจ้างที่ผู้เสียหายเป็นหนี้พวกจำเลยอยู่เท่านั้นไม่ได้
เอาทรัพย์สินอื่น ๆ ที่มีค่ามากไปด้วยก็ตาม
แต่การกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เป็นการกระทำโดยมีเจตนาทุจริตแล้ว
การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการร่วมกันปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย
คำถาม
การใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่นเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
แต่กระสุนไม่ลั่นและผู้นั้นได้วิ่งหลบหนีไป
หากผู้กระทำตามไปยิงอีกจะยังถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายอีกหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6370/2554 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า
เมื่อจำเลยที่ 1 ยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัดแล้ว อ. ได้ชักอาวุธปืนยิงจำเลยที่ 1 ก่อนจริง
พฤติการณ์ของ อ. เช่นนี้ ย่อมทำให้จำเลยที่ 1 เห็นว่า อ.
ได้ประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายแก่ตน ดังนั้น จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิป้องกัน
การที่จำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนยิงไปที่ อ. 1 นัด ในทันทีทันใด
แม้กระสุนจะลั่นหรือไม่ก็ตาม ย่อมถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68 แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธยิง อ. แต่กระสุนปืนไม่ลั่นแล้ว
อ. ได้วิ่งหลบหนีไป เช่นนี้ เหตุที่จำเลยที่ 1 จะป้องกันสิทธิของตนย่อมหมดไป
การที่จำเลยที่ 1 วิ่งไล่ตาม อ. ไป แล้วยิงต่อสู้กับ อ. อีกเช่นนี้
เป็นการกระทำต่อเนื่องจากการที่ อ. ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 1
ก่อนอันถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยที่ 1 ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยที่ 1 ในครั้งหลังจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72
คำถาม หนังสือสัญญาซื้อขายระยุว่า ราคาส่วนที่เหลือ
อ. ชำระในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์
ถ้าปรากฏว่าผู้ขายจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อบางส่วนเหลือที่ดินส่วนที่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนอีก
หากผู้ซื้อครอบครองที่ดินส่วนที่เหลือติดต่อกันกว่า 10 ปี จะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3878/2554 หนังสือสัญญาซื้อขายอาคารพาณิชย์และที่ดินข้อ 3
ระบุว่า ผู้ซื้อต้องชำระราคาแก่ผู้ขายในวันทำสัญญาจำนวน 600,000 บาท และข้อ 5
สำหรับราคาอาคารพาณิชย์และที่ดินส่วนที่เหลืออีกจำนวน 2,100,000 บาท
ผู้ซื้อต้องชำระในวันรับโอนกรรมสิทธิ์อาคารพาณิชย์และที่ดินดังกล่าวตามสัญญานี้
โดยผู้ขายจะเป็นผู้นำผู้ซื้อไปจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน
ผู้ซื้อต้องไปจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพาณิชย์ภายในกำหนด 7 วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ขายแสดงว่าหนังสือสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและอาคารไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
เพราะในวันทำสัญญามีการชำระราคาที่ดินและอาคารเพียงบางส่วนเท่านั้นราคาส่วนที่เหลือจะชำระในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคาร
โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่จำเลยเนื้อที่รวม 24 ตารางวา
เหลือที่ดินที่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนอีกจำนวน 4 ตารางวา
ซึ่งจำเลยยังคงประสงค์ให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาและมิได้บอกเลิกสัญญา
สัญญาซื้อขายอาคารและที่ดินจึงยังคงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยอยู่ การครอบครองที่ดินจำนวน 4 ตารางวา
ของจำเลยย่อมเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาและเป็นเพียงการที่จำเลยครอบครองแทนโจทก์ซึ่งยังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินจำนวน 4 ตารางวาเท่านั้น
เมื่อจำเลยไม่ได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือครองครองแก่โจทก์ว่าจะไม่ครอบครองที่ดินจำนวน 4 ตารางวา แทนโจทก์ต่อไป
จึงมิใช่การครองครอบโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ
แม้จำเลยจะครองครองที่ดินจำนวน 4 ตารางวา นับติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปี
จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์
คำถาม ผู้ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว
หากไปตกลงจะซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินในโฉนดจะมีผลเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ได้มาหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6468/2554 การแสดงเจตนาเป็นเจ้าของที่จะทำให้ผู้ครอบครองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองตาม
ป.พ.พ.มาตรา 1382 นั้น
ต้องเป็นการแสดงเจตนาเป็นเจ้าของตลอดระยะสิบปีที่ได้ครอบครองติดต่อกัน
เมื่อครบสิบปีแล้วผู้ครองครองย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองไปโดยผลของกฎหมาย
เมื่อผู้รับมอบอำนาจโจทก์ไปพบว่ามีบ้านจำเลยปลูกอยู่บนที่ดินซึ่งเป็นระยะเวลาหลังจากที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาแล้วถึง 22 ปี จึงมีการเจรจาที่จะให้จำเลยรับซื้อที่ดินพิพาท ดังนั้น
แม้จะฟังว่าการที่จำเลยตกลงจะซื้อที่ดินพิพาทเป็นการยอมรับในกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์แต่ก็เป็นการยอมรับหลังจากที่จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว
จึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทที่จำเลยได้รับโดยผลของกฎหมายแต่อย่างใด
เมื่อจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว
โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
คำถาม
การที่ลูกหนี้ให้สิทธิแก่ธนาคารเจาหนี้เบิกเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกหนี้เพื่อหักใช้หนี้ได้ทันทีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ถือเป็นสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ผู้ค้ำประกันอาจเข้ารับช่วงได้ หลังจากชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 697 หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 125/2554
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 697
บัญญัติให้ผู้ค้ำประกันอาจเข้ารับช่วงได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสิทธิก็ดี
จำนองก็ดี จำนำก็ดี และบุริมสิทธิอันได้ให้ไว้แก่เจ้าหน้าที่แต่ก่อนหรือในขณะทำสัญญาค้ำประกันเพื่อชำระหนี้นั้น
ซึ่งหมายความว่าเมื่อผู้ค้ำประกันชำระหนี้แก่เจ้าหนี้แล้วก็ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิที่เจ้าหนี้มีอยู่เหนือลูกหนี้ด้วยตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 693 วรรคสอง
โดยสิทธินั้นเป็นสิทธิที่เจ้าหนี้จะบังคับเอาจากลูกหนี้ได้เช่นเดียวกับสิทธิจำนอง
สิทธิจำนา จึงจำกัดเฉพาะสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้นและถ้าเจ้าหนี้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธินั้นผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงเท่าตนต้องเสียหาย
แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าบริษัทลูกหนี้ให้สิทธิโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เบิกเงินจากบัญชีเงินฝากของตนที่มีอยู่ 1,500,000 บาท เพื่อหักให้หนี้ได้ทันทีที่บริษัทดังกล่าวผิดนัดชำระหนี้ จึงเท่ากับว่าโจทก์มีสิทธิหักกลบลบหนี้เหนือเงินฝากจำนวนนั้นของลูกหนี้
ไม่ใช่สิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ที่จำเลยทั้งสองผู้ค้ำประกันอาจเข้ารับช่วงหลังจากชำระหนี้แก่โจทก์ได้อีก การที่โจทก์เพิ่งฟ้องจำเลยที่ 1
หลังจากบริษัทดังกล่าวถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้วเกือบ 9 ปี นั้น
เป็นสิทธิที่โจทก์จะกระทำได้ตามปกติในอายุความเรียกร้องของตน โดยจำเลยที่ 1
ไม่อาจยกเป็นข้อโต้แย้งได้เพราะไม่ใช่การกระทำให้จำเลยที่ 1
เสียหายจนไม่อาจรับช่วงสิทธิที่โจทก์มีอยู่เหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามนัยของมาตรา 697 ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงยังไม่หลุดพ้นจากความผิด
คำถาม ที่งอกริมตลิ่งกับที่ชายตลิ่ง ต่างกันอย่างไร
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 589/2554 ที่งอกริมตลิ่ง หมายถึง
ที่ดินที่งอกไปจากตลิ่งตามธรรมชาติซึ่งเกิดจากการที่สายน้ำพัดพาดินจากที่อื่นมาทับถมกันริมตลิ่งจนเกิดที่งอกขึ้น
มิใช่งอกจากที่อื่นเข้ามาหาตลิ่ง
ลักษณะของที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ต่ำกว่าที่ดินของจำเลยร่วม 3 ถึง 5 เมตร
ไม่มีลักษณะเป็นที่งอกซึ่งเกิดจากการที่สายน้ำพัดพาดินจากที่อื่นมาทับถมกันริมตลิ่งจนเป็นที่งอก
ที่ดินพิพาทจึงมิใช่ที่งอกออกไปจากริมตลิ่งของที่ดินจำเลยร่วมตามธรรมชาติ
แต่เป็นท้องทางน้ำที่ตื้นเขินเพราะกระแสน้ำในแม่น้ำเปลี่ยนทางเดินและข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ติดแม่น้ำในฤดูน้ำปีปกติน้ำยังท่วมถึงทุกปีจึงเป็นที่ชายตลิ่งซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินพลเมืองใช้ร่วมกัน
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (2)
แม้จำเลยจะครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
แต่จะอ้างสิทธิดังกล่าวขึ้นยันโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินสาธารณะประโยชน์ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ได้ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1306 จำเลยจึงต้องรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท
คำถาม ครอบครองที่ดินโดยเข้าใจว่าเป็นของตนเอง แต่ความจริงเป็นของผู้อื่น
จะอ้างการครอบครองปรปักษ์ได้หรือไม่
และหากผู้มีชื่อในโฉนดจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่บุคคลภายนอกไป
ระหว่างผู้ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์
กับบุคคลภายนอกใครมีสิทธิ์ในที่ดินดีกว่ากัน
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3866/2554 จำเลยและ ส.
เป็นผู้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดินพิพาทเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยและบุคคลในครอบครัว
เพราะได้รับการยกให้ซึ่งที่ดินพิพาทจาก ม. น้องสาวของจำเลยเจ้าของที่ดินพิพาท
เมื่อจำเลยกับ ส.
พร้อมด้วยครอบครัวได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันตั้งแต่ได้รับการยกให้เมื่อปี 2526 ตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี
จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
แล้ว
ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยและบุคคลในครอบครัวของจำเลยเข้าใจมาโดยตลอดว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยการครอบครองของจำเลยในลักษณะดังกล่าวจึงมิใช่การครอบครองอย่างปรปักษ์เพราะการครอบครองปรปักษ์ต้องครอบครองโดยรู้ว่าที่ดินเป็นของบุคคลอื่นนั้นเห็นว่า
ป.พ.พ. มาตรา 1382 หาได้บัญญัติว่า
ผู้ที่จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโดยการครอบครองจะต้องรู้ว่าทรัพย์สินที่ตนครอบครองเป็นทรัพย์สินของบุคคลอื่นด้วยไม่
หากจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยลักษณะเป็นการครอบครองเพื่อตน
แม้จะเข้าใจว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยแล้ว
แต่ความเป็นจริงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นอยู่เมื่อจำเลยกับครอบครัวร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ
ไม่มีผู้ใดโต้แย้งตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว
ที่ดินดังกล่าวย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
โจทก์ซื้อและรับโอนที่ดินกับบ้านพิพาทจาก ม. มีราคาสูงถึง 2,800,000 บาท
และโจทก์ก็ทราบจาก ม. แล้วว่า ม. ไม่ได้อยู่อาศัยในบ้านพิพาทเอง
โจทก์ควรที่จะตรวจสอบให้ได้ความแน่ชัดว่าญาติของ ม. เข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิใคร
โดยการไปซักถามจาก พ. หรือบุคคลในครอบครัวของ พ. ที่พักอาศัยอยู่ในบ้านพิพาท แต่ก็ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้กระทำเช่นนั้นทั้งที่มีโอกาสกระทำได้โดยง่าย
กรณีดังกล่าวย่อมถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ซื้อและรับโอนที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตตามนัยแห่ง
ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง
จำเลยซึ่งได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์
จึงย่อมยกสิทธิขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ได้สิทธิในที่ดินมาโดยไม่สุจริตได้
โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น