คำถาม
การสอบจำเลยเรื่องทนายความก่อนนั่งพิจารณา
การอ่านคำพิพากษาเป็นอำนาจของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นคนเดียวหรือไม่
ผู้พิพากษาสองคนนั่งพิจารณาครบองค์คณะแล้ว
หากมีผู้พิพากษาอีกคนหนึ่งมาร่วมลงลายมือชื่อชื่อโดยที่ไม่ได้นั่งพิจารณาจะถือว่าเป็นการไม่ชอบหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่
5412/2554
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัย ตามฎีกาของจำเลยว่า
ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาครบองค์คณะตามที่บัญญัติไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 26 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 มาตรา 236 ที่ใช้บังคับในขณะนั้นหรือไม่ เห็นว่า
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคสอง บัญญัติว่า “....ก่อนเริ่มพิจารณาในศาล
ถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการทนายความ ก็ให้ศาลตั้งทนายความให้ ”
แม้ในวันดังกล่าวเป็นเพียงวันที่ศาลสอบถามจำเลยเรื่องทนายความเท่านั้น
ซึ่งศาลจะสอบคำให้การจำเลยและสืบพยานในนัดต่อก็ตาม
การสอบจำเลยเรื่องทนายความก่อนเริ่มการพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวก็เป็นการที่ศาลออกนั่งเกี่ยวกับการพิจารณาคดี
จึงเป็นการนั่งพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 1 (9) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 15 ซึ่งจะต้องอยู่ในบังคับของพระธรรมนูญศาลยุติธรรมว่าด้วยองค์คณะผู้พิพากษา
แต่เมื่อการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปเพื่อออกคำสั่งใด ๆ
ซึ่งมิใช่การชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีจึงเป็นอำนาจของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นคนเดียวตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
มาตรา 24 (2) ดังนั้น การที่ผู้พิพากษาของศาลชั้นต้นคนเดียวได้สอบจำเลยเรื่องทนายความและได้ลงลายมือชื่อในรายงานกระบวนการพิจารณาจึงชอบแล้วและฎีกาของจำเลยที่ว่าการสืบพยานประเด็นโจทก์ที่ศาลอาญามีผู้พิพากษาคนหนึ่งมิได้ร่วมนั่งพิจารณา แต่ได้ลงลายมือชื่อในคำให้การพยานและรายงานกระบวนพิจารณาและการสืบพยานในศาลชั้นต้นทุกครั้ง
และในวันอ่านคำพิพากษามีผู้พิพากษาคนหนึ่งไม่ได้ร่วมพิจารณาด้วยมาลงลายมือชื่อเป็นการขัดต่อกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัย เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า การสืบพยานโจทก์ที่ศาลอาญามีผู้พิพากษาสองคนนั่งพิจารณาครบองค์คณะแล้ว
แม้หากผู้พิพากษาศาลอาญาอีกคนหนึ่งมาร่วมลงรายชื่อโดยที่ไม่ได้นั่งพิจารณาก็เป็นเพียงการดำเนินกระบวนพิจารณาเกินไปกว่าที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
หามีผลให้การนั่งพิจารณาที่ถูกต้องกลับกลายเป็นไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ การสืบพยานในศาลชั้นต้นทุกครั้งก็ปรากฎตามบันทึกคำเบิกความและรายงานกระบวนการพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าในแต่ละครั้งมีลายมือชื่อผู้พิพากษาสองคนลงลายมือชื่อไว้
จึงต้องฟังตามรวยงานกระบวนการพิจารณาว่าในวันดังกล่าวมีผู้พิพากษาสองคนของศาลชั้นต้นนั่งพิจารณาคดีอันเป็นการนั่งพิจารณาครบองค์คณะ
ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 26 แล้ว
หาได้เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 236
ที่ใช้บังคับในขณะนั้น ดังที่จำเลยฎีกาไม่ ส่วนการอ่านคำพิพากษาเป็นการดำเนินการหลังคดีเสร็จการพิจารณา
ทั้งผู้พิพากษาได้ลงลายชื่อในคำพิพากษาครบองค์คณะตามกฎหมายแล้ว
การอ่านคำพิพากษาย่อมกระทำได้โดยผู้พิพากษาคนเดียว การดำเนินกระบวนพิจารณาและการอ่าน
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
คำถาม คดีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบต่อศาลจังหวัด ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ชอบหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 8492/2548 คดีนี้ศาลชั้นต้นเป็นศาลจังหวัด
การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้นต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี
ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 26
การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้และมีคำสั่งยกคำร้องขอคืนของกลางของผู้ร้องโดยผู้พิพากษาคนเดียวเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีนั้น
เป็นการไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
มาตรา 24 (2) และมาตรา 26
เนื่องจากการพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวมีลักษณะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวที่จะออกคำสั่งได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
มาตรา 25 จึงเป็นกรณีศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย และศาลอุทธรณ์ภาค
8 ยังไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ต้องให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องเสียก่อน ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ปะกอบมาตรา 225
คำถาม ฟ้องขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์
แต่คำฟ้องไม่ระบุชื่อเจ้าของทรัพย์ หากกล่าวในคำฟ้องว่า
ขณะนี้จำเลยต้องขังอยู่ตามหมายขังของศาลชั้นต้นในคดีนี้ซึ่งหมายขังดังกล่าวได้ระบุชื่อเจ้าของทรัพย์ไว้
จะถือว่าฟ้องชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 9587/2554 แม้ ป.
วิ. อ. มาตรา 158 (5) บัญญัติว่า ฟ้องต้องบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด
ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ
อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี
และคดีความผิดฐานลักทรัพย์ตามลักษณะของความผิดจะต้องเป็นทรัพย์ของผู้อื่น
มิใช่เป็นของผู้กระทำผิดนั้นเอง
ซึ่งโดยปกติฟ้องต้องระบุชื่อเจ้าของทรัพย์เสมอไป คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้วคงขาดแต่ชื่อเจ้าของทรัพย์เท่านั้น
แต่เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดก็พอทราบได้ว่าผู้เสียหายที่เป็นเจ้าของทรัพย์คือผู้ใด
เพราะในตอนท้ายฟ้องได้กล่าวไว้ด้วยว่าระหว่างสอบสวนจำเลยถูกควบคุมตัวตั้งแต่ถูกจับตลอดมา
ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายขังของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 1283/2552
ซึ่งพอจะอนุโลมได้ว่าเป็นส่วนประกอบของคำฟ้อง และปรากฏว่าคดีหมายเลขดำที่ ฝ.
1283/2552 ได้ระบุชื่อเจ้าของทรัพย์ไว้ จำเลยน่าจะเข้าใจได้ดีว่าทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องเป็นของผู้ใด
ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
คำถาม คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย
หากในชั้นศาลโจทก์ไม่ได้ตัวมาเบิกความ
เพราะหลังเกิดเหตุผู้เสียหายหลบหนีออกจากบ้านไป ไม่อาจหาตัวและที่อยู่ได้
ศาลจะรับฟังคำให้การของผู้เสียหายดังกล่าวได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 11713/2554 แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายจะเป็นพยานบอกเล่า
แต่เมื่อได้ความว่าโจทก์ไม่สามารถนำผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยาน
เนื่องจากหลังเกิดเหตุผู้เสียหายหลบหนีออกจากบ้านไป
ไม่อาจหาตัวและที่อยู่ได้ แต่ผู้เสียหายได้ให้การต่อพนักงานสอบสวน นักสังคมสงเคราะห์ และพนักงานอัยการไว้
ตามบันทึกคำให้การผู้เสียหายอันเป็นการปฏิบัติตาม ป.วิ.อ. มาตรา 133 ทวิ
แล้ว
ศาลย่อมรับฟังคำให้การของผู้เสียหายประกอบกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ซึ่งเป็นพยานแวดล้อมที่อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ได้
คำถาม ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ
หากศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลายื่นฎีกา
จะมีผลไปถึงโจทก์ร่วมด้วยหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 8698/2554
แม้ ป.วิ.อ. มาตรา 2 (14) ให้ความหมายของคำว่า “โจทก์ ”
ว่า หมายความถึงพนักงานอัยการ หรือผู้เสียหายซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล
หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน และโจทก์ร่วมเข้ามาดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองโดยอาศัยสิทธิตามฟ้องของพนักงานอัยการตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 30 ก็ตาม แต่สิทธิในการยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 23 ประกอบ ป. วิ. อ. มาตรา 15
เพื่อใช้สิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216
นั้น เป็นสิทธิเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละคน
การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลายื่นฎีกาจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2552
จึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวของโจทก์เท่านั้นไม่มีผลถึงโจทก์ร่วมแต่อย่างใด การที่โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 จึงเป็นการยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกา เมื่อสิ้นระยะเวลาฎีกาสำหรับโจทก์ร่วมแล้ว
ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาได้เฉพาะเมื่อมีเหตุสุดวิสัย
ซึ่งเหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15 นั้น
หมายถึงเหตุที่ทำให้ศาลไม่สามารถมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาหรือคู่ความไม่สามารถมีคำขอเช่นนั้นมาก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่จะกระทำได้ก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้
กรณีจึงไม่เหตุสุดวิสัยที่จะอนุญาตให้โจทก์ร่วมขยายระยะเวลายื่นฎีกาได้
คำถาม โจทก์และจำเลยมีเจตนาก่อนิติสัมพันธ์กันเป็นสัญญาจะซื้อขายโดยการวางมัดจำ
ภายหลังมีการทำสัญญาจะซื้อจะขายเป็นหนังสือ กรณีจะอยู่ในบังคับ ป.วิ.พ. มาตรา 94
ที่ห้ามรับฟังพยานบุคคลเพิ่มเติม ตัดทอน แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 8163/2554 โจทก์ตกลงซื้อที่ดินและบ้านจากจำเลยตามใบโฆษณา
โดยวางมัดจำไว้ หลังจากนั้นโจทก์และจำเลยจึงได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายแสดงว่า
โจทก์และจำเลยมีเจตนาก่อนิติสัมพันธ์กันเป็นสัญญาจะซื้อจะขายโดยการวางมัดจำตาม
ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสอง ซึ่งมิได้กำหนดแบบไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้
สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์จำเลยจึงเกิดขึ้นนับแต่เวลาที่โจทก์วางมัดจำไว้
มิใช่เพิ่งเกิดในภายหลังเมื่อมีการทำสัญญาจะซื้อจะขายเป็นหนังสือ
กรณีจึงไม่ตกอยู่ในบังคับข้อห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94
ที่จำกัดเฉพาะกรณีที่กฎหมายกำหนดว่าข้อเท็จจริงในเรื่องที่ฟ้องกันนั้นจะต้องแสดงให้ปรากฏด้วยการนำสืบพยานเอกสารจึงห้ามนำพยานบุคคลเข้าสืบเพื่อเพิ่มเติม
ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารที่ได้นำมาแสดงแล้ว
ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังพยานบุคคลที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยตกลงจะหาสถาบันการเงินให้โจทก์กู้ยืมชำระหนี้ส่วนที่เหลืออยู่คืนจำเลย
โดยมีระยะเวลาผ่อนชำระหนี้นาน 15 ปีได้
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าธนาคารที่จำเลยติดต่อให้โจทก์กู้ไม่ยอมให้โจทก์ชำระหนี้ได้นาน
15 ปี เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้าน
จำเลยจึงไม่อาจกล่าวอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาและริบเงินทั้งหมดที่โจทก์ชำระไว้แล้ว
คำถาม คำสั่งที่กฎหมายบัญญัติว่าให้เป็นที่สุด
จะขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 4745/2554
ข้อกฎหมายที่จะขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ ได้นั้น
จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่สามารถอุทธรณ์และฎีกาไปยังศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้งดการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 193
กฎหมายบัญญัติให้คำสั่งเป็นที่สุดไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงตามวรรคสามของบทบัญญัติมาตราดังกล่าว
จำเลยทั้งสองจะขออนุญาตอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 223 ทวิ หาได้ไม่
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น