คำถาม คดีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลจะต้องพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่
8528/2555 คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องและหมายเรียกจำเลยมาแก้คดีอย่างคดีมโนสาเร่ปรากฎว่าจำเลยได้รับหมายเรียกแล้วไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด
จึงถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ เมื่อโจทก์มีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดแล้ว
ศาลก็ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาคดีโดยขาดนัดไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคสาม
ประกอบมาตรา 198 ทวิ
เมื่อหนี้เงินกู้ที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอน
และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ส่งเอกสารแทนการสืบพยาน
จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นปฏิบัติตาม ป.วิ.พ.มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (1) โดยชอบแล้ว
เมื่อสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องมีโจทก์ผู้ให้กู้และจำเลยผู้กู้ลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย
จึงเป้นสัญญากู้ยืมเงินเข้าลักษณะแห่งตราสารซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้าย
ป.รัษฎากร และตามมาตรา 103 แห่งกฎหมายดังกล่าว ปิดแสตมป์บริบูรณ์หมายถึง
ปิดแสตมป์ก่อนกระทำหรือในทันทีที่ทำตราสารเป็นราคาไม่น้อยกว่าอากรที่ต้องเสียและได้ขีดฆ่าอากรนั้นแล้ว
เมื่อหนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์อ้างส่งเป็นพยานหลักฐานปิดอากรแสตมป์แต่มิได้ขีดฆ่า
การปิดอากรแสตมป์ของโจทก์จึงไม่บริบูรณ์ ไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตาม
ป.รัษฎากร มาตรา 118
เป็นผลให้คดีของโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้กู้ได้ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง
คำถาม คดีฟ้องเรียกส่วนแบ่งทรัพย์มรดก
หากทายาทเป็นโจทก์ฟ้องรวมกันมา การอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริง จะถือทุนทรัพย์อย่างไร
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2158/2555 โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของบิดาโจทก์ทั้งสี่
ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทและให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ
1 ใน 5 ส่วน
หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งสี่
เป็นการฟ้องเรียกส่วนแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลย
คดีของโจทก์ทั้งสี่จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลอดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนราคาที่ดินพิพาทนั้น
และเป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกได้ แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องรวมกันมา
การอุทธรณ์ฎีกาต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน
เพราะเป็นเรื่องโจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะของตน
เมื่อที่ดินพิพาทที่โจทก์ทั้งสี่ตีราคา เป็นทุนทรัพย์รวมกันมามีราคา 300,000 บาท
ที่ดินแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งจึงมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้น
ราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน
200,000 บาท
ซึ่งต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำถาม ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลจะฟ้องขอให้บังคับลูกหนี้ตามคำพิพากษาและบริวารที่ไม่ยอมออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นคดีใหม่ต่างหากได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5997/2555 ป.วิ.พ. มาตรา 309 ตรี
ให้สิทธิผู้ซื้อทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเพียงการขอให้ออกคำบังคับ
และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดี
เพื่อขับไล่จำเลยในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษาและบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเท่านั้น
เมื่อโจทก์ประสงค์จะเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในมูลละเมิดเพราะจำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทก็ชอบที่โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นคดีใหม่ต่างหาก
โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิดเป็นคดีนี้ได้
จำเลยรับว่าเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีเดิม โดยธนาคาร ก. เป็นผู้ซื้อทรัพย์พิพาทจากการขายทอดตลาดในคดีดังกล่าว
และโจทก์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ต่อมาจากธนาคาร ก.
ทั้งจำเลยก็ยังอยู่ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทที่โจทก์ซื้อมา
จึงย่อมฟังได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์แล้ว
คำถาม คดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 224 ใช้บังคับแก่การอุทธรณ์ถึงปัญหาเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นสาขาของคดี
หรือปัญหาในชั้นบังคับคดีด้วยหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6349/2555 โจทก์กล่าวอ้างว่า อาจนำที่ดินพิพาทออกให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละไม่ต่ำกว่า
5,000 บาท และขอคิดค่าเสียหายจากจำเลยเดือนละ 3,000 บาท
ย่อมหมายถึงที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้เดือนละ 3,000 บาท การฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ
ออกจากอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท
จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง
และข้อห้ามอุทธรณ์ตามบทบัญญัตินี้ต้องใช้บังคับแก่การอุทธรณ์ทั้งในประเด็นเนื้อหาแห่งคดีตลอดจนปัญหาเรื่องอื่น
ๆ ที่เป็นสาขาของคดี ซึ่งรวมถึงปัญหาในชั้นบังคับคดีด้วยโดยเหตุที่ทำให้ต้องห้ามอุทธรณ์ต้องถือตามเหตุต้องห้ามอุทธรณ์ในคดีตามคำฟ้องและคำให้การที่พิพาทกันแต่เดิมนั้นเป็นสำคัญ
ซึ่งถ้าหากมีเหตุอันต้องอุทธรณ์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว
แม้ปัญหาในชั้นสาขาคดีในส่วนการบังคับคดีจะไม่มีเหตุต้องห้ามอุทธรณ์ก็ตาม
ก็ต้องถือว่า เป็นคดีต้องห้ามอุทธรณ์ตามเหตุต้องห้ามในคดีแต่เดิมดังกล่าวแล้ว
เมื่อปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์นั้น
จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นว่าคำร้องขอเลื่อนคดีที่อ้างว่าจำเลยเจ็บป่วยไม่สามารถมาศาลได้
ถือเป็นเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ ซึ่งศาลควรให้โอกาสแก่จำเลย
แต่ศาลชั้นต้นกลับยกคำร้องที่ขอให้งดการบังคับคดีและไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี
จึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงย่อมต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้วที่ศาลอุทธรณ์ภาค
2 รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วมีคำพิพากษามา
จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบและปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
แม้คู่ความไม่ได้ฎีกาขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควร
ย่อมยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องเสียได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 247 ประกอบมาตรา 246
และ 142 (5) และกรณีเช่นนี้จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาด้วย แม้ศาลชั้นต้นจะรับอุทธรณ์ของจำเลยและศาลอุทธรณ์ภาค
2 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย
ก็ไม่ทำให้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายที่จำเลยจะใช้สิทธิฎีกาต่อไป
คำถาม เทปบันทึกเสียงรวมทั้งบันทึกการถอดเทปที่แอบบันทึกขณะมีการสนทนาระหว่างผู้เสียหาย
พยาน และจำเลย ศาลจะนำมารับฟังได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2281/2555
เทปบันทึกเสียงที่แอบบันทึกขณะมีการสนทนาระหว่างโจทก์ร่วมกับพยานและจำเลยที่
2 โดยโจทก์ร่วมและพยานไม่ทราบมาก่อนเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ
ห้ามมิให้ศาลรับฟังเป็นพยานตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226
แม้หลักกฎหมายดังกล่าวจะใช้ตัดพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานของรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในกรณีเจ้าพนักงานของรัฐใช้วิธีการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ
แต่ ป.วิ.อ. มาตรา 226
ไม่ได้บัญญัติห้ามไม่ให้นำไปใช้กับการแสวงพยานหลักฐานของบุคคลธรรมดา อย่างไรก็ตาม
ระหว่างพิจารณามี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. (ฉบับที่ 28)ฯ
บัญญัติเพิ่มเติมมาตรา 226/1 ใน ป.วิ.อ.
กำหนดให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบได้ถ้าพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญา
ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2
จึงต้องนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับในการรับพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2
ดังนั้น เทปบันทึกเสียงรวมทั้งบันทึกการถอดเทปดังกล่าวแม้จะได้มาโดยมิชอบ
แต่เมื่อศาลนำมาฟังจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญาตามบทบัญญัติดังกล่าว
ศาลฎีกาจึงนำพยานหลักฐานดังกล่าวมารับฟังได้
เมื่อพิจารณาเนื้อหาจากบันทึกการถอดเทปดังกล่าวได้ความว่าโจทก์ร่วมไม่สมัครใจและไม่มีความเป็นอิสระในการชี้ตัวจำเลยที่
2 จึงมีข้อสงสัยตามสมควรว่าโจทก์ร่วมและ ก.
พยานโจทก์และโจทก์ร่วมได้ชี้ภาพถ่ายจำเลยที่ 2 และตัวจำเลยที่ 2 ผิดตัวหรือไม่
พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีเหตุอันควรสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2
ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่
ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 2 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
คำถาม การที่เจ้าพนักงานตำรวจล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน
เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
คำตอบ
มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่
961-962/2555 การที่เจ้าพนักงานตำรวจใช้
ผ. ไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 ซึ่งมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอยู่แล้ว
และก่อนหน้านี้ ผ. ก็เคยซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 จำนวน 100 เม็ด
และถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้
การล่อซื้อดังกล่าวเป็นวิธีการแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1
ที่ได้กระทำอยู่แล้วมิได้ล่อซื้อหรือชักจูงใจให้จำเลยที่ 1
กระทำความผิดอาญาที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิดมาก่อน การกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจเป็นเพียงวิธีการเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยที่
1 และเป็นการขยายผลในการปราบปราม มิใช่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
(คำพิพากษาฎีกาที่ 4417/2548,8187/2543,59/2542,270/2542 วินิจฉัยเช่นกัน)
คำถาม บันทึกคำให้การชั้นสอบสวน
ศาลจะนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5718/2555 การดำเนินคดีในศาลไม่ว่าจะเป็นคดีอาญาหรือคดีแพ่ง
นอกจากเนื้อหาแห่งคดี ซึ่งมีการต่อสู้คดีกันตามกฎหมายสารบัญญัติแล้วคู่ความและผู้เกี่ยวข้องกับคดียังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายวิธีสบัญญัติ
ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์ให้คู่ความและผู้เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตาม
เพื่อคุ้มครองส่งเสริมให้การดำเนินคดีในเนื้อหาตามกฎหมายสารบัญญัติ
เป็นไปโดยถูกต้องและเป็นธรรมแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในคดีโดยเสมอภาคกันตาม ป.วิ.อ.
มาตรา 40 การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
จะฟ้องต่อศาลซึ่งพิจารณาคดีอาญาหรือต่อศาลที่มีอำนาจชำระคดีแพ่งก็ได้
แต่ไม่ว่าจะฟ้องต่อศาลไหน การพิจารณาคดีแพ่งก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.
แม้คำให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนจะมีลักษณะเป็นพยานบอกเล่า
ซึ่ง ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 วรรคสอง วางหลักไว้ห้ามมิให้ศาลรับฟัง
แต่กรณีเข้าตามหลักเกณฑ์ข้อยกเว้นที่กฎหมายมาตรานี้ได้กำหนดไว้ใน (1) ว่า
พยานเช่นนี้รับฟังได้ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา
และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้นน่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้
เมื่อนำไปรับฟังประกอบพยานบุคคลของโจทก์แล้ว
มีน้ำหนักมั่นคงฟังเชื่อได้ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยคือคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น