คำถาม ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและยกคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลโดยถือว่าไม่มีพยานมาไต่สวน
การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
การอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี จะต้องอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาใด
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6979-6980/2555 ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 2 และที่ 3
ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์
เนื่องจากศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 2 แลที่ 3 เลื่อนคดีถือว่าจำเลยที่
2 ไม่มีพยานมาไต่สวน และในส่วนของจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเชื่อว่าจำเลยที่
3 ยังพอมีทรัพย์สินที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลได้
จึงไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์เช่นนี้
เท่ากับศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำร้องของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วว่า
จำเลยที่ 2 และที่
3 ไม่ใช่ผู้ที่ไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ จึงไม่อาจใช้สิทธิดังกล่าวได้
ซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3
จะต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่มีคำสั่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา
156/1 วรรคท้าย แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3
ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวเกินกำหนดเวลาตามที่กฎหมายกำหนด
จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงอุทธรณ์ในข้อที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 2 และที่ 3
เลื่อนคดีเพียงอย่างเดียว โดยขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำสั่งของศาลขั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 2 และที่ 3
เลื่อนคดีเพื่อดำเนินการไต่สวนพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อไป ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่
2 แลที่ 3 ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์จึงยุติไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาว่าสมควรอนุญาตให้จำเลยที่ 2 และที่ 3
เลื่อนคดีเพื่อทำการไต่สวนพยานหลักฐานจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อไปหรือไม่
คำถาม
ต่างฝ่ายต่างยื่นฟ้องหรือยื่นคำร้องขอต่อศาล
ซึ่งคดีมีประเด็นอย่างเดียวกัน
หากศาลคดีใดคดีหนึ่งได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีแล้วจะมีผลถึงอีกคดีหนึ่งหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 11369/2555 คดีก่อนบริษัท พ. และบริษัท ร.
เป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องกับพวกเป็นจำเลยขอให้ขับไล่ผู้ร้องกับพวกออกจากที่ดินพิพาทอันเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่
6505 ของบริษัท พ. และบริษัท ร.
ผู้ร้องให้การในคดีนั้นว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของผู้ร้องตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 114
แต่หากเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 6505 ผู้ร้องก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองแล้ว
ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าวผู้ร้องสละประเด็นเรื่องการครอบครอง ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่า
ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 6505 และพิพากษาขับไล่ผู้ร้องกับพวกออกจากที่ดินพิพาท
ส่วนคดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์
คดีจึงมีประเด็นเป็นอย่างเดียวกันกับคดีก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของบริษัท พ. และบริษัท
ร. หรือของผู้ร้อง
คำพิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ด้วย
จนถึงวันที่คำพิพากษาในคดีก่อนถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง
การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นการขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นที่ได้วินิจฉัยไปแล้ว
เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
คำพิพากษาฎีกาที่ 5507/2555 ข้อเท็จจริงตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่
1269/2550 เป็นเรื่องที่จำเลยฟ้องโจทก์
อ้างว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3058
โจทก์บุกรุกที่ดินดังกล่าวบางส่วน ขอให้บังคับโจทก์และบริวารออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์
ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ครอบครองที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 3058 โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันกว่า
10 ปี
ขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์
จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย
เช่นนี้
มูลคดีทั้งสองคดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกันว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลย
เมื่อโจทก์จำเลยเป็นคู่ความเดียวกันและศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1269/2550 ได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีไปแล้ว
ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม
ป.พ.พ. มาตรา 144 วรรคหนึ่ง
คำถาม บุคคลที่ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีก่อน
แต่ในคดีมีการพิจารณาถึงตัวบุคคลดังกล่าวแล้วในประเด็นที่มีข้อพิพาทอย่างเดียวกับคดีหลัง
จะถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6977/2555 ในคดีก่อนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5
ฟ้องขับไล่โจทก์ให้ออกจากที่ดินพิพาท
และในคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ซึ่งทั้งในคดีก่อนและคดีนี้จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันว่า
โจทก์หรือจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ใครมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน
แม้ในคดีก่อนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เท่านั้นที่ฟ้องขับไล่โจทก์
แต่การต่อสู้คดีโจทก์ก็นำสืบถึงจำเลยที่ 1 ว่าบิดาของจำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส. 3 ก.) ทับที่ดินโจทก์ จำเลยที่ 1
ครอบครองต่อจากบิดาและตกเป็นทรัพย์มรดกแก่จำเลยที่ 1 จากนั้นจำเลยที่ 1
ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งการจะขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทได้
ก็ต้องพิจารณาถึงการที่จำเลยที่ 1 ได้ที่ดินพิพาทมาโดยชอบหรือไม่
ตลอดจนการขายต่อให้แก่จำเลยที่ 2 การจดทะเบียนจำนองของจำเลยที่ 2
รวมถึงการบังคับจำนองขายทอดตลาดและธนาคาร ก.
เป็นผู้ซื้อได้แล้วขายต่อให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 นั้นสุจริตหรือไม่
ซึ่งทางนำสืบต่อสู้ของโจทก์ในคดีก่อนก็มีข้อเท็จจริงที่ตรงกับฟ้องของโจทก์ในคดีนี้
แม้ในคดีก่อนจะมีเพียงจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5
ที่ฟ้องขับไล่โจทก์แต่ก็มีการพิจารณาถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2
แล้วในประเด็นที่มีข้อพิพาทอย่างเดียวกัน
ต่อมาโจทก์อ้างเหตุอย่างเดียวกันมาฟ้องจำเลยทั้งห้าในคดีนี้อีก
เมื่อศาลในคดีก่อนมีคำพิพากษาแล้ว ย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อนตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 144 วรรคหนึ่ง
คำถาม คดีที่โจทก์ฟ้อง
จำเลยยื่นคำให้การ หากศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีจำเลยจะขอให้พิจารณาคดีใหม่
อ้างข้อบกพร่องของทนายจำเลยในการดำเนินกระบวนพิจารณาได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 6312/2555 ข้อเท็จจริงปรากฎว่าภายหลังจากโจทก์ฟ้องคดีและจำเลยได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การแล้ว
จำเลยได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยจนคดีเสร็จการพิจารณา
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดที่ให้จำเลยเป็นฝ่ายแพคดี
จึงไม่ใช่กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดพิจารณาแพ้คดีในประเด็นที่พิพาทที่จะของพิจารณาคดีใหม่ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 207 (เดิม) (มาตรา 199 ตรี,
207) แต่เป็นกรณีที่ศาลได้พิพากษาชี้ขาดไปตามพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลย
จำเลยจึงไม่อาจขอพิจารณาคดีใหม่ได้
คำถาม ฟ้องขอให้ชำระเงินคืนฐานลาภมิควรได้
โดยอ้างว่า จำเลยเรียกเอาหลักประกันการปฏิบัติผิดสัญญาจากธนาคารซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันโจทก์และธนาคารจ่ายเงินให้ไปแล้วหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ชำระหนี้ดังกล่าวจะถือว่ามูลคดีเกิดขึ้นที่ใด
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 398-399/2555 ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)
บัญญัติว่าคำฟ้องให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่
และคำว่า “มูลคดีเกิด” หมายถึง
เหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินคืนแก่โจทก์ด้วยเหตุลาภมิควรได้
โดยข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือ
การที่จำเลยทั้งสองเรียกเอาหลักประกันการปฏิบัติผิดสัญญาจากธนาคาร ส.
ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันโจทก์ และธนาคารจ่ายเงินให้จำเลยทั้งสองไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้
แล้วธนาคารใช้สิทธิไล่เบี้ยหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ชำระหนี้ดังกล่าว
ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเช่นนี้
ย่อมเห็นได้ว่าเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิที่ทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องเกิดขึ้น
ณ ที่ทำการของธนาคาร
ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการจ่ายเงินให้จำเลยทั้งสองแล้วหักเงินในบัญชีเงินฝากของโจทก์
ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการจ่ายเงินให้จำเลยทั้งสองแล้วหักเงินในบัญชีเงินฝากของโจทก์
เมื่อธนาคาร ส. มีสถานที่ตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น
โจทก์จึงมีอำนาจเสนอคำฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายดั้งกล่าว
จำเลยที่ 2
เป็นคู่ความเฉพาะสำนวนแรก การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
โดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ 4,000 บาท จึงไม่ถูกต้อง
คำถาม ที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์
จะยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องมีสิทธิครอบครอง
และให้เจ้าหน้าที่จดทะเบียนการได้มาให้แก่ผู้ร้องได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 7743/2555 บุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 55
นั้น ต้องเป็นกรณีจำเป็นจะต้องมาร้องขอต่อศาลเพื่อให้ได้รับความรับรองหรือคุ้มครองตามสิทธิของตนที่มีอยู่โดยจะต้องมีกฎหมายระบุไว้แจ้งชัดว่าให้กระทำได้
แต่กรณีตามคำร้องขอของผู้ร้องมิใช่เป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าผู้ร้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1382 เนื่องจากที่ดินตามคำร้องขอเป็นที่ดินที่ยังไม่มีโฉนดคงมีแต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.3 ก.) เท่านั้น
ซึ่งไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่ฝ่ายเดียวได้
หากผู้ร้องเห็นว่าผู้ร้องมีสิทธิครอบครองในที่ดินและถูกบุคคลใดโต้แย้งสิทธิประการใดก็ชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลโดยทำเป็นคำฟ้องอันเป็นคดีมีข้อพิพาท
หาใช่เสนอคดีโดยทำเป็นคำร้องขออันเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทไม่
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น