การได้มาซึ่งสิทธิอาศัยโดยพินัยกรรม
เป็นการได้สิทธิมาโดยทางนิติกรรม
อาจารย์สมจิตร์
ทองศรี
สืบเนื่องมาจากคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๔๐/๒๕๑๔
(ประชุมใหญ่) วินิจฉัยว่า การได้มาซึ่งสิทธิอาศัยโดยพินัยกรรมอันเป็นทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยพินัยกรรมเป็นการได้สิทธิมาโดยนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง
เมื่อมิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิอาศัยกับพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่บริบูรณ์
มีนักกฎหมายบางคนเห็นด้วยกับคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้ แต่ก็มีนักกฎหมายอีกไม่น้อยที่เห็นว่า คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๔๐/๒๕๑๔
(ประชุมใหญ่)
ขัดแย้งกับคำพิพากษาที่
๑๖๑๙/๒๕๐๖ ที่วินิจฉัยว่า “ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๕๙๙
ทายาทย่อมได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์มรดกตั้งแต่เจ้ามรดกตาย
แม้ยังไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๒๙๙ ก็ตาม” และยังขัดแย้งกับคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๑๒/๒๕๐๖
ที่วินิจฉัยว่า
“เมื่อผู้ทำพินัยกรรมตาย
ที่ดินที่ระบุไว้ในพินัยกรรมย่อมตกได้แก่ผู้รับพินัยกรรมทันที ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๖๗๓
โดยมิต้องทำการรับมรดกและเข้าครอบครองที่ดินนั้น โดยเหตุนี้เจ้าของที่ดินเช่นว่านี้
จึงมีอำนาจฟ้องให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์และขับไล่ผู้อาศัยได้” โดยนักกฎหมายกลุ่มนี้เห็นว่า เมื่อมีคำพิพากษาฎีกาทั้งสองฉบับนี้วินิจฉัยว่า การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยการรับมรดกไม่ว่าในฐานะทายาทโดยธรรมหรือในฐานะผู้รับพินัยกรรมย่อมเป็นการได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๔๐/๒๕๑๔
(ประชุมใหญ่) ก็น่าจะวินิจฉัยตาม
ขอให้สังเกตว่าตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๖๑๙/๒๕๐๖
และ ๑๘๑๒/๒๕๐๖ เป็นกรณี
“กรรมสิทธิ์”
ซึ่งศาลฎีกาถือว่า
เมื่อบุคคลใดตาย
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์มรดกย่อมตกทอดไปยังทายาททันทีโดยยังไม่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ แต่คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๔๐/๒๕๑๔
(ประชุมใหญ่) เป็นกรณี “สิทธิอาศัย” และข้อเท็จจริงในคดีนี้
เป็นกรณีที่เจ้ามรดกเพิ่งจะกำหนดสิทธิอาศัยขึ้นตามพินัยกรรมโดยระบุให้น้องของเจ้ามรดก (จำเลยร่วม)
อาศัยอยู่ในที่ดินและเรือนพิพาทตลอดชีวิตของจำเลยร่วม ส่วนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวาร (ซึ่งเป็นบริวารของจำเลยร่วม) โดยโจทก์อ้างการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินและเรือนพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์
หากพิจารณาถึงทรัพยสิทธิทั้งหลายที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ
๔
บัญญัติให้ก่อตั้งขึ้นได้ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เองหรือกฎหมายอื่นอันได้แก่ กรรมสิทธิ์
สิทธิครอบครอง ภาระจำยอม สิทธิอาศัย
สิทธิเหนือพื้นดิน
สิทธิเก็บกิน และ ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
จะเห็นได้ว่าการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยการรับมรดกนั้น เฉพาะกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองเท่านั้นที่บริบูรณ์อยู่ในตัวไม่จำต้องไปจดทะเบียนก่อตั้งกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองอีกเพียงแต่ว่าการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์และสิทธิครองครองในอสังหาริมทรัพย์หากยังมิได้จดทะเบียนจะมีผลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๒๙๙ วรรคสอง คือจะเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้
และจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธินั้นมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้เท่านั้น ส่วนทรัพยสิทธิประเภทสิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน
และภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์จะก่อตั้งได้ก็โดยนิติกรรมเท่านั้น
และสิทธิดังกล่าวจะมีฐานะเป็นทรัพยสิทธิก็ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง แล้วเท่านั้น
ถ้าแปลว่าการที่จำเลยร่วมในคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๔๐/๒๕๑๔
(ประชุมใหญ่)
ซึ่งเป็นผู้รับสิทธิอาศัยตามพินัยกรรมเป็นผู้ได้มาซึ่งสิทธิอาศัยในเรือนพิพาทโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม
สิทธิที่จำเลยร่วมได้มาต้องเป็นสิทธิอาศัยที่มีฐานะเป็นทรัพยสิทธิโดยสมบูรณ์แล้ว (ไม่ใช่ฐานะบุคคลสิทธิ) ในคดีนี้
ผู้เขียนเห็นว่า
สิทธิที่จำเลยร่วมได้มาเป็นเพียงบุคคลสิทธิซึ่งต้องถือว่าผู้มีสิทธิได้รับมรดกในที่ดินและเรือนพิพาทเป็นคู่กรณีหรือคู่สัญญากับจำเลยร่วม
และแม้จำเลยร่วมจะฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนสิทธิอาศัยของจำเลยร่วมในที่ดินและเรือนพิพาทก็ไม่ได้ เพราะโจทก์เป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและเรือนพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ไม่ใช่ผู้รับมรดกจึงไม่ใช่คู่สัญญาหรือคู่กรณีกับจำเลยร่วมจะฟ้องบังคับให้ไปจดทะเบียนได้
แต่ถ้าคดีนี้เปลี่ยนข้อเท็จจริงเป็นว่าโจทก์เป็นผู้รับมรดก
(ไม่ใช่ผู้ได้ที่ดินและเรือนพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์)
จำเลยร่วมย่อมฟ้องบังคับให้ผู้รับมรดกที่ดินและเรือนพิพาทจดทะเบียนสิทธิอาศัยได้ ซึ่งพอเทียบได้กับคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๖๗/๒๕๔๒
ที่วินิจฉัยว่า
“ตามข้อกำหนดพินัยกรรมระบุให้โจทก์มีสิทธิอยู่อาศัยในที่ดินได้ชั่วชีวิตของโจทก์
สิทธิอยู่อาศัยดังกล่าวเป็นสิทธิเหนือพื้นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๔๑๐ และเป็นทรัพยสิทธิซึ่งโจทก์ได้รับมาตามพินัยกรรมโดยชอบ
โจทก์จึงชอบที่จะใช้สิทธิให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกดำเนินการจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินให้แก่โจทก์
เพื่อให้โจทก์มีสิทธิบริบูรณ์ตามข้อกำหนดในพินัยกรรมตามวัตถุประสงค์ของเจ้ามรดกโดยการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง
แม้ตามข้อกำหนดพินัยกรรมมิได้ระบุว่าให้จดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินต่อเจ้าหนักงานก็ตาม”
กล่าวโดยสรุปผู้เขียนเห็นว่า
การได้อสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยการรับมรดกไม่ว่าในฐานะทายาทโดยธรรมหรือในฐานะทายาทผู้รับพินัยกรรมจะเป็นการได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมก็เฉพาะการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองเท่านั้น ส่วนสิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน และสิทธิเก็บกิน
แม้เจ้ามรดกจะกำหนดไว้ในพินัยกรรมให้บุคคลใดมีสิทธิดังกล่าวในอสังหาริมทรัพย์ เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ผู้รับพินัยกรรมก็ไม่ใช่ผู้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมเพราะสิทธิเหล่านี้ไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิอยู่ในตัวดังเช่นกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครอง แต่ถือว่าเป็นการได้มาโดยทางนิติกรรมเพราะสิทธิดังกล่าวจะบริบูรณ์ก็ต่อเมื่อทำเป็นหนนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น ผู้เขียนจึงเห็นด้วยกับคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๔๐/๒๕๑๔
(ประชุมใหญ่)
Summumius summa iniuria
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น