การฟ้องบังคับให้จดทะเบียน
การได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยว
กับอสังหาริมทรัพย์
สมจิตร์
ทองศรี
"การได้มาซึ่งทรัพสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม ถ้าคู่กรณีไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนกันให้บริบูรณ์ในฐานะที่เป็นทรัพยสิทธิมาตั้งแต่แรก ต่อมาภายหลังฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะฟ้องบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งไปจดทะเบียนเพื่อให้บริบูรณ์ในฐานะที่เป็นทรัพยสิทธิย่อมไม่ได้"
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่" ตามบทบัญญัติดังกล่าวซึ่งใช้กับการก่อตั้งทรัพยสิทธิที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๔ อันได้แก่ ภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน และภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ และการยกอสังหาริมทรัพย์ตีใช้หนี้ จึงมีปัญหาว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหา ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่บริบูรณ์ คือไม่อาจบังคับกันได้ตามทรัพยสิทธินั้นๆ แต่ยังมีผลบังคับกันได้ในระหว่างคู่สัญญาในฐานะเป็นบุคคลสิทธินั้น คู่กรณีจะฟ้องบังคับกันให้ไปจดทะเบียนเพื่อให้เป็นทรัพยสิทธิที่บริบูรณ์ได้หรือไม่มีคำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๔๙/๒๕๓๖
การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งสิทธิเหนือพื้นดินอันเป็นทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและมิได้จะทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่บริบูรณ์
โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินให้โจทก์เพื่อให้เป็นทรัพยสิทธิที่บริบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๒๙๙ วรรคแรก หาได้ไม่
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๕/๒๕๓๖
โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อตกลงคือ จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินยอมให้โจทก์และบริวารเดินผ่านที่ดินของจำเลยทางทิศตะวันตกเพื่อออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์
โดยยอมให้โจทก์ถมดินเป็นถนนและวางท่อระบายน้ำตลอดแนวจนกว่าจะถึงถนนสาธารณประโยชน์ระยะทางยาวประมาณ ๓
เส้น
โดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง
และจำเลยตกลงจะจดทะเบียนให้ถนนดังกล่าวเป็นทางการจำยอมแก่โจทก์โดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียม ดังนี้
สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นการก่อตั้งภาระจำยอมในทางพิพาท
โดยมีข้อตกลงว่าจะเลยจะจดทะเบียนภารจำยอมให้โจทก์ให้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา
โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาให้ไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมได้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๖๐-๑๐๖๑/๒๕๔๐
คดีนี้จำเลยได้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนในอันที่จะจดทะเบียนภารจำยอมให้โจทก์ทั้งสามตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ทำไว้ โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๑๓
แต่เมื่ปรากฏว่าภายหลังโจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยแล้ว จำเลยได้จดทะเบียนโอนที่ดินซึ่งเป็นถนนพิพาทคดีนี้ให้แก่ ก.
แล้ว
จำเลยมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไป
และไม่อยู่ในฐานะจะไปจดทะเบียนภารจำยอมให้โจทก์ทั้งสามตามคำขอท้ายฟ้องได้ต่อไป
เพราะสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องที่จะบังคับให้จำเลยทำเช่นนั้น
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๒๐๘/๒๕๔๕
จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับโจทก์
โดยมีข้อตกลงกันในวันกำหนดโอนที่ดินที่จะซื้อจะขายดังกล่าวว่า
จำเลยยินยอมที่จะจดทะเบียนภารจำยอมเพื่อให้โจทก์มีสิทธิในการใช้ถนนเข้า-ออก
จากที่ดินของโจทก์ในที่ดินที่เป็นถนนทุกแปลงที่จำเลยมีกรรมสิทธิ์
เป็นสัญญาอย่างหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดบุคคลสิทธิขึ้นในอันที่จะเรียกร้องบังคับกันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลย
แม้โดยสัญญานี้โจทก์จะไม่ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิในทางภารจำยอมโดยบริบูรณ์
เพราะไม่ได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง
แต่บทมาตรานี้ก็หาได้บัญญัติให้เป็นผลไปถึงว่านิติกรรมหรือสัญญานั้นเป็นโมฆะเสียเปล่าไปไม่
สัญญาดังกล่าวจึงยังคงมีผลก่อให้เกิดบุคคลสิทธิในอันที่จะเรียกร้องบังคับกันได้ในระหว่างคู่สัญญาและเมื่อที่ดินของจำเลยต้องตกอยู่ในภารจำยอมดังกล่าวจะสิ้นไปก็ไปก็ด้วยเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๓๙๗ หรือมาตรา ๑๓๙๙
เมื่อภารจำยอมยังไม่สิ้นไป
โจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนภารจำยอมตามข้อตกลงท้ายสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวได้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๑๔๓/๒๕๔๖
(ประชุมใหญ่)
โจทก์กับจำเลยร่วมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลโดยจำเลยร่วมยอมให้โจทก์เช่นซื้อที่ดินพิพาทคืน ๑๒๕,๐๐๐
บาท กำหนดชำระเป็นงวด งวดละ
๕,๐๐๐
บาท
หากชำระเสร็จสิ้นจำเลยร่วมยอมให้ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิแก่โจทก์ทันทีและจำเลยร่วมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด ดังนี้
เมื่อที่ดินพิพาทมีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิคือโฉนดที่ดิน
โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยร่วมดำเนินการทางทะเบียนโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ส่วนหนึ่งด้วย เพื่อให้ความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทของโจทก์ถึงขั้นบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิสามารถใช้ยันต่อบุคคลภายนอกได้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๓๘๐/๒๕๔๒
(ป)
การที่จำเลยตกลงด้วยวาจาให้โจทก์มีสิทธิเก็บกินในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตลอดชีวิตของโจทก์ก็เพื่อเป็นการตอบแทนที่โจทก์ยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้จำเลย
ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงพิเศษอย่างสัญญาต่างตอบแทนก่อให้เกิดบุคคลสิทธิแก่โจทก์ในอันที่จะเรียกร้องให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิเก็บกินนั้น และเมื่อได้มีการจดทะเบียนเช่นนั้นแล้ว
การได้มาโดยนิติกรรมดังกล่าวซึ่งสิทธิเก็บกินอันเป็นทรัพยสิทธิก็ย่อมบริบูรณ์ตามกฎหมายสมเจตนาของคู่กรณี ตราบใดที่จำเลยผู้เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยังมิได้โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่บุคคลอื่น
โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องต่อศาลขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนสิทธิเก็บกินได้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๖๗/๒๕๔๒
ตามข้อกำหนดพินับกรรมระบุให้โจทก์มีสิทธิอยู่อาศัยในที่ดินได้ชั่วชีวิตของโจทก์ สิทธิอยู่อาศัยดังกล่าวเป็นสิทธิเหนือพื้นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๑๐
และเป็นทรัพยสิทธิซึ่งโจทก์ได้รับมาตามพินัยกรรมโดยชอบ โจทก์จึงชอบที่จะใช้สิทธิให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกดำเนินการจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินให้แก่โจทก์
เพื่อให้โจทก์มีสิทธิบริบูรณ์ตามข้อกำหนดในพินัยกรรมตามวัตถุประสงค์ของเจ้ามรดก โดยการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง
แม้ตามข้อกำหนดพินัยกรรมมิได้ระบุให้จดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินต่อเจ้าพนักงานก็ตาม
สำหรับการได้ภาระจำยอมโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมหรือได้โดยอายุความมีคำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจคือ
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๐๕/๒๕๓๖
การจดทะเบียนภาระจำยอมเป็นการจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมประการหนึ่งตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๙๑
ฉะนั้น แม้โจทก์จะได้ภาระจำยอมโดยอายุความก็ตาม
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ก็ชอบจะเรียกให้จำเลยที่ ๑
เจ้าของภารยทรัพย์จดทะเบียนภาระจำยอมแก่ตนได้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๔๘๒/๒๕๔๑
โจทก์ได้มีสิทธิภาระจำยอมโดยอายุความตามพิพากษาของศาล
โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยเจ้าของภารยทรัพย์ไปดำเนินการจดทะเบียนสิทธิภารจำยอมที่โจทก์ได้มาแต่จำเลยเพิกเฉย ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์จึงฟ้องจำเลยฐานะเจ้าของภารยทรัพย์ให้จดทะเบียนสิทธิภาระจำยอมให้แก่โจทก์ได้
ตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวน่าจะสรุปหลักได้ว่า “การได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม
ถ้าคู่กรณีไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนกันให้บริบูรณ์ในฐานะที่เป็นทรัพยสิทธิมาตั้งแต่แรก
ต่อมาภายหลังฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะฟ้องบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งไปจดทะเบียนเพื่อให้บริบูรณ์ในฐานะที่เป็นทรัพยสิทธิย่อมไม่ได้” (คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๔๙/๒๕๓๖)
แต่มีข้อยกเว้นในกรณี
ดังต่อไปนี้ฟ้องบังคับให้จดทะเบียนได้
(๑)
กรณีมีข้อตกลงชัดแจ้งให้ไปจดทะเบียนแล้วไม่ไป
อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิฟ้องบังคับให้ไปจดทะเบียนตามข้อตกลงได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๕/๒๕๓๖,
๑๐๖๐-๑๐๖๑/๒๕๔๐,
๖๒๐๘/๒๕๔๕ และ ๗๑๔๓/๒๕๔๖ (ป))
(๒)
กรณีมีข้อตกลงพิเศษอย่างสัญญาต่างตอบแทน
ฟ้องบังคับให้ไปจดทะเบียนให้บริบูรณ์ตามกฎหมายสมเจตนาของคู่กรณีได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๓๘๐/๒๕๔๒ (ป))
(๓)
กรณีได้สิทธิมาโดยทางพินัยกรรม
ผู้ได้สิทธิฟ้องทายาทของเจ้ามรดกหรือผู้จัดการมรดกบังคับให้จดทะเบียนเพื่อให้มีสิทธิบริบูรณ์ตามข้อกำหนดในพินัยกรรมตามวัตถุประสงค์ของเจ้ามรดกได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๖๗/๒๕๔๒)
สำหรับกรณีได้ภาระจำยอมโดยอายุความฟ้องบังคับให้จดทะเบียนได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๐๕/๒๕๓๖, ๓๔๘๒/๒๕๔๑) เพราะเป็นการจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมประการหนึ่งตามมาตรา ๑๓๙๑
แต่ขอให้สังเกตว่าการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์
ผู้ได้มาจะฟ้องให้เจ้าของไปจดทะเบียนใส่ชื่อตนไม่ได้
เพราะเจ้าของไม่มีหน้าที่อย่างใดในทางนิติกรรมที่ต้องโอนอสังหาริมทรัพย์นั้นให้ผู้ได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์
แต่เป็นหน้าที่ของบุคคลดังกล่าวต้องดำเนินการเอง (คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๘๖๖/๒๕๓๓, ๗๕๕/๒๕๓๕
และ ๖๗๕/๒๕๕๐)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น