คำถาม คดีที่มีการชี้สองสถาน
จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การจะต้องยื่นก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3642/2555
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การวันที่ 3 กันยายน 2553
ก่อนศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานวันที่ 6 กันยายน
2553 ถือว่าจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การก่อนวันชี้สองสถาน ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 180 แล้ว
ส่วนคำร้องขอให้หมายเรียกบุคคลภายนอกเข้าเป็นจำเลยร่วม
จำเลยทั้งสองยื่นในวันที่ 3 กันยายน 2553 พร้อมกับคำร้องขอแก้ไขคำให้การ
ถือได้ว่าเป็นการยื่นพร้อมกับคำให้การชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 57 (3)
คำถาม ฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง หากผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ จะถือเป็นฎีกาที่ชอบหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 4642/2555 ฎีกาของโจทก์มิได้ระบุให้แจ้งชัดว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค
9
ในส่วนใดมีข้อวินิจฉัยผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างไร
และที่ถูกต้องควรเป็นอย่างใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง แม้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะรับรองว่ามีเหตุสมควรที่โจทก์จะฎีกา
ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาได้
เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำถาม
การนำพยานบุคคลมาสืบว่าไม่ได้รับเงินตามสัญญาจำนองที่ระบุว่าให้ถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมด้วย
ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 8109/2555
แม้โจทก์มีพยานเอกสารสัญญาจำนองที่ระบุให้ถือว่าเป็นหลักฐานการกู้ยืมด้วยมาแสดงต่อศาล อันเป็นกรณีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง
ห้ามมิให้นำสืบพยานบุคคลเพื่อเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
94 (ข) ก็ตาม
แต่การที่จำเลยนำสืบพยานบุคคลให้เห็นว่าจำเลยนำที่ดินมาทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ค่าบริการและค่าใช้จ่ายของ
ส.
ที่ไปทำงานต่างประเทศไว้แก่โจทก์ตามที่ตัวแทนบริษัทจัดหางานเป็นผู้แนะนำโดยจำเลยไม่ได้รับมอบเงิน
120,000 บาท เป็นการนำสืบถึงที่มาของการทำสัญญาจำนองและเป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากจำเลยไม่ได้เป็นผู้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์
จึงสามารถนำสืบได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94วรรคท้าย
คำถาม
จำเลยให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
แต่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่าเป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยแก้อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ
หากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยจะฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3115 -3116/2550 จำเลยที่ 2
ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องเคลือบคลุม แต่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง เพราะเห็นว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม
ป.วิ.พ.มาตรา 148 จำเลยที่ 2
ซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีไม่จำต้องอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น
แต่เมื่อโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยที่ 2
มีสิทธิที่จะยกประเด็นเรื่องฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องเคลือบคลุมขึ้นแก้อุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
แต่จำเลยที่ 2 คงแก้อุทธรณ์เฉพาะปัญหาว่า
ฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่เท่านั้น
จำเลยที่ 2
หาได้ยกปัญหาเรื่องฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมขึ้นแก้อุทธรณ์ด้วยไม่ ดังนั้น
ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่
จึงไม่ใช่ปัญหาที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์
ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9201/2542 นั้น จำเลยที่ 2
ให้การปฏิเสธศาลมีคำสั่งให้โจทก์ยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่
และมีคำพิพากษาลงโทษให้จำเลยที่ 1
ที่ให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของโจทก์ทั้งสอง โดยมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์ทั้งสอง ส่วนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1447/2543 นั้น ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานรับของโจรทรัพย์รวม 4 รายการ และมีคำสั่งให้คืนทรัพย์ทั้ง 4
รายการแก่โจทก์ที่ 2 โดยคดีอาญาทั้งสองเรื่องดังกล่าวไม่มีประเด็นว่า
จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1
หรือไม่ ซึ่งในการฟ้องคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า
จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำละเมิดกับจำเลยที่
1 ในการรับเอาทรัพย์ของโจทก์ทั้งสองไว้และโจทก์ที่ 2 ได้รับทรัพย์คืนจากจำเลยที่ 2 แล้ว 4
รายการ คือ ทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์อันดับที่
20, 24, 25 และ 26 รวมเป็นเงิน 8,700 บาท
ส่วนทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์อันดับที่ 18
ได้รับคืนเฉพาะองค์พระส่วนทองคำที่ลอกไปยังได้คืน
โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 2 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวนอื่น ๆ
นอกจากทรัพย์ 4 รายการพร้อมองค์พระดังกล่าว
ซึ่งศาลในคดีอาญาทั้งสองคดีดังกล่าวยังมิได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่
2 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสอง ฟ้องโจทก์ทั้งสองคดีนี้บางประเด็นจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำถาม การร้องขอรับชำระหนี้จำนองตาม ป.วิ.พ. มาตรา
289 หากผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบว่า
จำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องและจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำร้องอีกหรือไม่
ผู้ร้องขอรับชำระหนี้จำนอง ไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนคำร้องศาลถือว่าผู้ร้องไม่นำพยานหลักฐานมาสืบสั่งยกคำร้อง
(มิได้สั่งจำหน่ายคดี) ชอบหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 583/2551
คำพิพากษาย่อมมีผลผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งเท่านั้น ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก
เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นของกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
145 เมื่อเจ้าหนี้ผู้นำยึดคือโจทก์ในคดีนี้เป็นบุคคลภายนอกในคดีที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องจึงหาอาจอ้างคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเพื่อให้คดีนี้ต้องถือตามได้ไม่
ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบตามข้ออ้างในคำร้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้ผู้ร้องและจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำร้องนั้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลชั้นต้นไม่อาจออกคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ต้องไต่สวนก่อน
กรณีที่จะเป็นการขาดนัดพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 200 ต้องเป็นกรณีที่โจทก์หรือจำเลยที่ได้ยื่นคำให้การไว้ไม่มาศาลในวันสืบพยาน
ซึ่งวันสืบพยานดังกล่าวต้องเป็นวันสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี
การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนวนก่อนเจ้าหนี้รายอื่นและขอเฉลี่ยทรัพย์
ผู้ร้องจึงมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของตนตามคำร้องในวันนัดไต่สวน ซึ่งมิใช่เป็นการสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี
จึงไม่อาจนำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาโดยขาดนัดที่ศาลจะต้องจำหน่ายคดีตามมาตรา
202 มาบังคับใช้
เมื่อผู้ร้องไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนคำร้อง การที่ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ร้องไม่นำพยานหลักฐานมาสืบ และสั่งยกคำร้องจึงชอบแล้ว
คำถาม
จำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแล้ว ไม่ได้คัดค้านว่าศาลชั้นต้นไม่มีเขตอำนาจที่จะรับฟ้องไว้พิจารณา จนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว
จะยกเหตุการผิดระเบียบดังกล่าวขึ้นว่าในชั้นอุทธรณ์ได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 7321/2550
คู่ความฝ่ายที่เสียหายจากการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบอาจยกกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นขึ้นว่ากล่าวได้ในเวลาใด
ๆ
ก่อนศาลมีคำพิพากษาแต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น
แต่ทั้งนี้คู่ความฝ่ายนั้นต้องมิได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้วหรือมิได้ให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้นตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 27
เมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสามแล้ว
จำเลยทั้งสามทราบถึงการฟ้องแล้วไม่ได้คัดค้านว่า
ศาลชั้นต้นไม่มีเขตอำนาจที่จะรับฟ้องไว้พิจารณากลับยินยอมให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณา
โดยสืบพยานโจทก์และให้จำเลยทั้งสามอ้างตนเข้าเบิกความ จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายแถลงหมดพยานและศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว
เท่ากับจำเลยทั้งสามยอมปฏิบัติตามที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาจนเสร็จสิ้น
อันเป็นการให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบแล้ว
จำเลยทั้งสามจึงยกการผิดระเบียบดังกล่าวขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้
คำถาม คดีก่อนอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จะถือว่าศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้วหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1525/2522
โจทก์ฟ้องไม่ระบุสถานที่เกิดเหตุศาลยกฟ้องย่อมเห็นได้ในตัวว่า การกระทำผิดของจำเลยที่โจทก์อ้างในฟ้องไม่แน่ชัดว่าจำเลยกระทำความผิดสถานที่ใด ถือได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว
โจทก์ฟ้องใหม่ไม่ได้
แม้โจทก์ฟ้องก่อนครบกำหนดอายุอุทธรณ์ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะฟ้องใหม่ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3116/2525 โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามฐานทำร้ายร่างกายและศาลชั้นต้นพิพากษาไปแล้ว ต่อมาผู้เสียหายถึงแก่ความตาย
โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งสามฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาอีกไม่ได้
แม้คดีแรกอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ก็ตามเพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.
มาตรา 39 (4) นอกจากนี้ยังมีฎีกาที่ 671/2483,
2019/2492, 6770/2546 วินิจฉัยเช่นกัน
คำพิพากษาฎีกาที่ 4473/2532
ผู้เสียหายเคยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในการกระทำความผิดเดียวกันกับคดีนี้จนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แม้คดีดังกล่าวจะอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
ก็ถือได้ว่าความผิดของจำเลยซึ่งได้ฟ้องนั้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว
สิทธิของพนักงานอัยการโจทก์ที่จะนำคดีอาญาฟ้องจำเลยในความผิดเกี่ยวกับเช็คพิพาทรายเดียวกับคดีก่อน
จึงระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
39 (4)
คำพิพากษาฎีกาที่ 2152/2537
ปุ๋ยเคมีปลอมที่จำเลยผลิตในคดีก่อนกับคดีนี้จำนวนเดียวกัน วันเวลาที่จำเลยขายปุ๋ยเคมีปลอมอยู่ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน
และผู้ที่ซื้อปุ๋ยเคมีปลอมจากจำเลยก็เป็นบุคคลคนเดียวกัน คือ ผู้เสียหายในคดีนี้ ถือได้ว่าการกระทำความผิดของจำเลยฐานขายปุ๋ยเคมีปลอมตามฟ้องในคดีก่อนตามพระราชบัญญัติปุ๋ย
พ.ศ. 2518 มาตรา 30, 32, 62, 63, 71, 72
กับการกระทำความผิดของจำเลยฐานฉ้อโกงโดยการหลอกลวงขายปุ๋ยเคมีปลอมให้ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 341 ตามฟ้องในคดีนี้ เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ดังนั้น
เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานขายปุ๋ยเคมีปลอมตามฟ้องในคดีก่อนแล้ว แม้คดีนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
ก็ถือได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในคดีนี้เป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา
39 (4)
คำพิพากษาฎีกาที่ 2071/2553 ตามฟ้องของโจทก์ ในคดีนี้และคดีอาญาหมายเลขดำที่
2495/2551 หมายเลขคดีแดงที่ อ. 3571/2551
เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่
14 กุมภาพันธ์ 2551 เวลากลางวัน
จำเลยเสนอ จำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายสินค้าเสื้อยี่ห้อลาคอสท์
ที่เป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมของผู้เสียหาย เหตุเกิดที่ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา ซึ่งทั้งสองคดีตามที่โจทก์ฟ้องเป็นการกระทำในเรื่องเดียวกัน
เกิดขึ้นในเวลา สถานที่ และกระทำต่อผู้เสียหายรายเดียวกัน จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน
เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2495/2551 หมายเลขแดงที่ อ. 3571/2551
ก่อนคดีนี้แล้ว ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องที่ศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงระงับไปตาม
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ
มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น