คำถาม หุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด
จะร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดีในคดีที่
ห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นจำเลย ได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 12110/2555 คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน
ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงกันได้ จึงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว
ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี
ผู้ร้องทั้งหกยื่นคำร้องว่า
ผู้ร้องทั้งหกและนายต่อพงษ์เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัดเลย โดยนายต่อพงษ์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ
นายต่อพงษ์ได้สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์
ซึ่งเป็นป้าของนายต่อพงษ์ทำสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องซึ่งเป็นความเท็จ
ความจริงมิได้มีการกู้ยืมเงินแต่ประการใด โจทก์และนายต่อพงษ์ได้สมรู้ร่วมคิดกันแสดงเจตนาลวงเข้าทำสัญญาประนีประนอมยอมความและให้ศาลมีคำพิพากษาตามยอม
สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 155 วรรคหนึ่ง
ต่อมาโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์หลายรายการของจำเลย ผู้ร้องทั้งหกได้รับความเสียหาย
ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและหมายบังคับคดีซึ่งออกโดยผิดหลงดังกล่าวด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
“........ ผู้ร้องทั้งหกเป็นเพียงหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดของจำเลยเท่านั้น
ความรับผิดของผู้ร้องทั้งหกจึงจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนรับจะลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดของจำเลย
เมื่อศาลมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชดใช้เงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาดังกล่าวย่อมกระทบแต่เฉพาะทรัพย์สินและกิจการของจำเลย
หากจะต้องมีการบังคับคดีก็เป็นเพียงจำเลยเท่านั้นที่จะต้องถูกบังคับคดี
ผู้ร้องทั้งหกในฐานะหุ้นส่วนจำกัดความผิดหาต้องถูกบังคับคดีด้วยไม่ ผู้ร้องทั้งหกจึงไม่ได้รับผลกระทบอันที่จะต้องได้รับความคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่
จึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1)
ที่จะขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและหมายบังคับคดีที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมายในคดีนี้ได้
หากการกระทำของจำเลยกระทบถึงสิทธิของผู้ร้องทั้งหก ผู้ร้องทั้งหกก็ชอบที่จะต้องนำคดีไปฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
ผู้ร้องทั้งหกจะขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและหมายบังคับคดีซึ่งได้ดำเนินมาโดยชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งหกโดยไม่ต้องไต่สวนก่อนชอบแล้ว
ฎีกาของผู้ร้องทั้งหกฟังไม่ขึ้น ”
คำถาม
ผู้รับโอนสิทธิและหน้าที่ในหนี้ตามคำพิพากษามาจากคู่ความซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีจะเข้าสวมสิทธิแทนคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 11401/2555 คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน
พร้อมดอกเบี้ยอัตรานับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว
โจทก์ขอให้บังคับคดี ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า
ผู้ร้องได้รับโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์
ซึ่งรวมทั้งสิทธิเรียกร้องในคดีนี้
โดยผู้ร้องมีหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองทราบแล้ว
ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ฯลฯ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “........เห็นว่า
บุคคลที่มีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาจะต้องเป็นคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนยะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 271 เมื่อผู้ร้องเป็นเพียงบุคคลภายนอกที่อ้างว่าได้รับโอนสิทธิและหน้าที่ในหนี้ตามคำพิพากษาจากโจทก์ที่มีอยู่แก่จำเลยทั้งสอง ไม่ใช่คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีตามคำพิพากษาจึงไม่อาจร้องขอให้บังคับคดีได้
นอกจากนี้การที่จะเข้าสวมสิทธิแทนคู่ความหรือบุคคลที่เป็ฯฝ่ายชนะคดีนั้นต้องมีบทบัญญัติของกฎหมายให้เข้าสวมสิทธิแทนได้
เช่น พระราชกำหนดปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2540 พระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์สินในคดีล้มละลายของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ
เป็นต้น
เมื่อผู้ร้องไม่ใช่บุคคลตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวที่ให้เข้าสวมสิทธิแทนโจทก์
ผู้ร้องจึงไม่อาจเข้าสวนสิทธิแทนโจทก์เพื่อดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองในคดีนี้ได้
คำถาม พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถานได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 8722/2555 ตาม ป.วิ.อ.
มาตรา 93 บัญญัติว่า “
ห้ามมิให้ทำการค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถาน เว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้นในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด
หรือซึ่งได้มาโดยการกระทำความผิดหรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด
” แสดงว่าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะทำการค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถานไม่ได้
เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นของกฎหมายดังกล่าว ปรากฏว่าจุดที่จำเลยนั่งโทรศัพท์อยู่ริมถนนเป็นบริเวณหน้าสนามเด็กเล่นอยู่บทถนนสุทธาวาส
ส่วนซอยโรงถ่านอยู่ริมคลองวัดโล่ หรือคลองชลประทาน
แสดงว่าบริเวณที่เกิดเหตุอยู่บนถนนสุทธาวาส ไม่ได้อยู่หลังโรงถ่านตามที่สิบตำรวจโท
ก. และสิบตำรวจตรี พ.
อ้างว่ามีอาชญากรรมเกิดขึ้นประจำแต่อย่างใด และ และทางพิจารณาก็ไม่ปรากฎว่าจำเลยมีท่าทางพิรุธนอกจากจำเลยนั่งโทรศัพท์อยู่ริมถนนสุทธาวาสเท่านั้น
การที่สิบตำรวจโท ก. และสิบตำรวจตรี พ.
อ้างว่าเกิดความสงสัยในตัวจำเลยจึงขอตรวจค้นโดยไม่มีเหตุผลสนับสนุนว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดความสงสัยในตัวจำเลย
จึงเป็นข้อสงสัยที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกเพียงอย่างเดียว
ถือไม่ได้ว่ามีเหตุอันสมควรสงสัยตามกฎหมายดังกล่าวที่จะทำการตรวจค้นได้
การตรวจค้นตัวจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยซึ่งถูกกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงมีสิทธิโต้แย้งและตอบโต้เพื่อป้องกันสิทธิของตน
ตลอดจนเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใด ๆ อันสืบเนื่องจากการปฏิบัติที่ไม่ชอบดังกล่าวได้
การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
คำถาม ถ้อยคำบันทึกการจับกุมที่ว่า
มีการตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อและจำเลยรับว่าเป็นธนบัตรที่ตนได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจริง
กับคำเบิกความของร้อยตำรวจเอก อ. และดาบตำรวจ ท. ที่ยืนยันว่า
จำเลยรับว่าต้นกัญชาตนเป็นผู้ปลูกจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดจำเลยได้หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5375/2555 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “..........มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า
การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 หยิบยกถ้อยคำตามบันทึกการจับกุมที่ว่ามีการตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อกับจำเลยรับว่าเป็นธนบัตรที่ตนได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจริง และคำเพิกความของร้อยตำรวจเอกอนุรักษ์และดาบตำรวจทวีศักดิ์ที่เบิกความยืนยันว่า
จำเลยรับว่าต้นกัญชาดังกล่าวตนเป็นผู้ปลูกขึ้นวินิจฉัยรับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 84 วรรคท้าย หรือไม่
เห็นว่า
บทบัญญัติมาตรา 84 วรรคท้าย ที่บัญญํติว่า “ ถ้อยคำใด ๆ ที่ผู้ถูกจับให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับ
หรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในชั้นจับกุมหรือรับมอบตัวผู้ถูกจับ ถ้าถ้อยคำนั้นเป็นคำรับสารภาพของผู้ถูกจับว่าตนได้กระทำความผิด
ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
แต่ถ้าเป็นถ้อยคำอื่นจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับได้ต่อเมื่อได้มีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่งหรือตามมาตรา
83 วรรคสอง แก่ผู้ถูกจับ แล้วแต่กรณี ” มีความหมายว่าห้ามมิให้นำคำรับสารภาพในชั้นจับกุมของผู้ถูกจับมารับฟังเป็นพยานหลักฐาน
แต่ถ้าเป็นถ้อยคำอื่นจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับได้ต่อเมื่อได้มีการแจ้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคหนึ่ง หรือมาตรา
83 วรรคสอง แก่ผู้ถูกจับแล้ว ถ้อยคำตามบันทึกการจับกุมที่ว่า
มีการตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อ และจำเลยรับว่าเป็นธนบัตรที่ตนได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจริง
กับคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกอนุรักษ์และดาบตำรวจทวีศักดิ์ที่ยืนยันว่า
จำเลยรับว่าต้นกัญชาตนเป็นผู้ปลูกดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 หยิบยกขึ้นวินิจฉัยนั้น
เป็นเพียงถ้อยคำอื่นที่จำเลยให้ไว้แก่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมมิใช่คำรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลย
เมื่อปรากฎตามบันทึกการจับกุมว่าเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมแจ้งสิทธิแก่จำเลยครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 83 วรรคสอง แล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5
นำถ้อยคำอื่นของจำเลยมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน
กับฐานผลิตกัญชาจึงชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคท้าย แล้ว
คำถาม ศาลในคดีอาญาพิพากษาว่า
พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่า
จำเลยกระทำความผิดหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ดังนี้
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยได้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 349/2555
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่
793/2549 ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมายังความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่
จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีไว้แน่นอนแล้วว่า
โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้ศาลเป็นโดยชัดแจ้งว่าจำเลยกระทำความผิด ดังนั้น
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง
ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 46 แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 จะบัญญัติว่า
คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดชอบบุคคลในทางแพ่ง
โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดหรือไม่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรับฟังข้อเท็จจริงขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในคำพิพากษาส่วนอาญาได้
ในคดีแพ่ง จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
คำพิพากษาฎีกาที่ 11473/2555
คดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องข้อหายักยอก
ศาลวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยรับเงินส่วนที่ขาดจากพนักงานขายมาแล้วไม่ส่งให้ผู้เสียหาย
แต่เป็นกรณีที่พนักงานขายยังไม่ส่งเงินส่วนที่ขาดส่งให้แก่จำเลย
จำเลยจึงไม่ได้ยักยอก พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว
แม้คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นจะยกฟ้องโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
แต่ผลในทางคดีต้องฟังว่า จำเลยไม่ได้ยักยอกเงินดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1
คดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวให้รับผิดทางแพ่งโดยอ้างเหตุเช่นเดียวกับคดีอาญาว่าจำเลยที่
1 เป็นตัวแทนจำหน่ายของโจทก์จำเลยที่ 1
รับเงินค่าสินค้าจากพนักงานขายแล้วส่งมองให้แก่โจทก์ไม่ครบถ้วนโดยคำฟ้องของโจทก์ในคดีแพ่งขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรับผิดในจำนวนเงินที่จำเลยที่
1 รับมาจากพนักงานขายไม่ส่งมอบให้แก่โจทก์จำนวน 150,559 บาท
เป็นเงินจำนวนเดียวกันกับคำขอท้ายฟ้องคดีอาญาเพื่อขอให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย
จึงเป็นการฟ้องอาศัยเหตุเดียวกันกับคดีอาญา ถือเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อคดีส่วนอาญา
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยยังไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากพนักงานขายของโจทก์
การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจึงต้องถือข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาดังกล่าวตาม ป.วิ.อ.
มาตรา 46 โดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้รับเงินค่าสินค้าส่วนที่ขาดส่งสินค้าส่วนที่ขาดส่งจากพนักงานขายของโจทก์
จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ และจำเลยที่ 2
ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องรับผิดด้วยเช่นกัน
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น